ฝ่ายปกครอง
Administration
|
Download แบบคำร้องขออนุญาตการต่างๆ ได้ที่นี้ (ใช้ทุกการรับรอง)
|
1. การจดทะเบียนสมาคม ดำเนินการดังนี้ 1.1 ให้ผู้จะเป็นสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน ยื่นคำขอตามแบบ ส.ค.1(PDF) ณ สำนักงานเขต สำหรับในกรุงเทพมหานคร หรือที่ว่าการอำเภอ สำหรับในจังหวัดอื่นที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมจะตั้งขึ้น พร้อมเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ จำนวน 3 ชุด (1) ข้อบังคับของสมาคม (2) รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้จะเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่าสิบคน (3) รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้จะเป็นกรรมการของสมาคม (4) รายงานการประชุมก่อตั้งสมาคม (5) แผนผังที่ตั้งสังเขปของสมาคมทั้งสำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขา (ถ้ามี) (6) หนังสืออนุญาตให้ใช้สถานที่ของสมาคม (7) สำเนาหรือภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ และภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านของผู้จะเป็นสมาชิกและผู้จะเป็นกรรมการของสมาคม (8) สำเนาหรือภาพถ่ายใบอนุญาตจัดตั้งสมาคมหรือองค์การตามกฎหมายว่าด้วยวัฒนธรรมแห่งชาติในกรณีสมาคมมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับงานของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ (9) เอกสารอื่น ๆ (ถ้ามี) 2. การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสมาคม 2.1 กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคม - ให้สมาคมยื่นคำขอ ตามแบบ ส.ค.2 (PDF) ณ สำนักงานเขต หรือที่ว่าการอำเภอ ที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้ลงมติ พร้อมเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ จำนวน 3 ชุด (1) รายงานการประชุมของที่ประชุมใหญ่ที่มีมติให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคม (2) ข้อบังคับของสมาคมฉบับเก่าและข้อบังคับของสมาคมฉบับใหม่ (3) แผนผังที่ตั้งสังเขปของสมาคมและหนังสืออนุญาตให้ใช้สถานที่ตั้งของสมาคมในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง 2.2 กรณีการจดแต่งตั้งกรรมการสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม - ให้สมาคมยื่นคำขอตามแบบ ส.ค.3 (PDF) ณ สำนักงานเขตหรืออำเภอ ที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการแต่งตั้ง หรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคมพร้อมเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ จำนวน 3 ชุด (1) รายงานการประชุมของสมาคมที่มีมติให้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม (2) ข้อบังคับของสมาคม (3) รายชื่อกรรมการเก่าและกรรมการใหม่ (4) สำเนาหรือภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้และภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านของกรรมการใหม่ (5) บันทึกคำให้การของบุคคลที่จะเป็นกรรมการของสมาคม (PDF) 3. การเลิกสมาคมตามมาตรา 101 แห่งประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2535 กำหนดให้สมาคมเลิกด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ดังนี้ 3.1 เมื่อมีเหตุตามที่กำหนดในข้อบังคับ เป็นการเลิกตามเหตุที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของสมาคมนั้น ๆ และสมาคมได้ปฏิบัติตามเหตุที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว 3.2 ถ้าสมาคมตั้งขึ้นไว้เฉพาะกาลใด เมื่อสิ้นระยะเวลานั้นเป็นการเลิกตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้ ซึ่งอาจเป็นการกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือในมติที่ประชุมจัดตั้งก็ได้ 3.3 ถ้าสมาคมตั้งขึ้นเพื่อกระทำกิจการใด เมื่อกิจการนั้นสำเร็จแล้วเป็นการกำหนดไว้เป็นการเฉพาะกิจและกิจการนั้นได้กระทำครบถ้วนแล้ว 3.4 เมื่อที่ประชุมใหญ่มีมติให้เลิก เป็นการเลิกโดยผลจากที่ประชุมใหญ่ของสมาคม 3.5 เมื่อสมาคมล้มละลาย เป็นการเลิกโดยผลจากที่สมาคมถูกฟ้องล้มละลายและศาลได้สั่งเป็นที่สิ้นสุดแล้ว 3.6 เมื่อนายทะเบียนถอนชื่อออกจากนายทะเบียน ในกรณี (1) เมื่อปรากฎในภายหลังการจดทะเบียนว่า วัตถุประสงค์ของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็น ภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐและนายทะเบียนได้สั่งให้แก้ไขแล้ว แต่สมาคมไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่นายทะเบียนกำหนด (2) เมื่อปรากฏว่า การดำเนินกิจการของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรืออาจเป็นภยันตรายต่อ ความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ (3) เมื่อสมาคมหยุดดำเนินกิจการติดต่อกันตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป (4) เมื่อปรากฏว่า สมาคมให้หรือปล่อยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ กรรมการของสมาคมเป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคม (5) เมื่อสมาคมมีสมาชิกเหลือน้อยกว่า 10 คน มาเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปี 3.7 เมื่อศาลสั่งให้เลิก 4. อัตราค่าธรรมเนียม 4.1. ค่าจดทะเบียน ครั้งละ 2,000 บาท 4.2 ค่าจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคม ครั้งละ 200 บาท 4.3 ค่าจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคมครั้งละ 200 บาท 4.4. ค่าขอตรวจเอกสาร ครั้งละ 50 บาท 4.5 ค่าคัดรับรองสำเนาเอกสาร แผ่นละ 10 บาท แต่ไม่เกิน 500 บาท 4.6. ค่าคำขอจดทะเบียนสมาคม ครั้งละ 5 บาท 4.7 สมาคมใดมิได้ยื่นคำขอจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมต่อนายทะเบียนภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันประชุมใหญ่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท 4.8 สมาคมใดมิได้ยื่นคำขอจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคมต่อนายทะเบียน ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันประชุมใหญ่ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท |
บันทึกคำให้การของบุคคลผู้จะเป็นกรรมการของสมาคม (PDF) |
1. การขอจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ จะต้องยื่นเอกสารคำขอ จดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ ม.น.1 (PDF) และเอกสารประกอบดังนี้ (1) รายชื่อเจ้าของทรัพย์สินและรายการทรัพย์สินที่จะ จัดสรรสำหรับมูลนิธิ (2) รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้ที่จะเป็นกรรมการของ มูลนิธิทุกคน (3) ข้อบังคับของมูลนิธิ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการมูลนิธิและการจัดการบัญชีทรัพย์สินและบัญชีของมูลนิธิ (4) คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินแก่มูลนิธิของเจ้าของทรัพย์สิน ที่ทำเป็นแบบหนังสือและจดทะเบียน (5) สำเนาพินัยกรรม ในกรณีที่มีการขอจดทะเบียนมูลนิธิหรือ การจัดสรรทรัพย์สินสำหรับมูลนิธิตามข้อ(1) เกิดขึ้นโดยผลของ พินัยกรรม (6) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวอื่นที่หน่วยงานของรัฐออกให้ และสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ที่จะเป็นกรรมการมูลนิธิทุกคน (7) แผนผังโดยสังเขปแสดงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิ หรือสำนักงานสาขา(ถ้ามี) (8) หนังสืออนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองให้ใช้สถานที่ (9) สำเนารายงานการประชุมจัดตั้งมูลนิธิ (ถ้ามี) (10) เอกสารอื่นๆ ถ้ามี เช่น หนังสืออนุญาตจากเจ้าของชื่อหรือทายาท หรือหน่วยงานของรัฐ หรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง 2. การขอจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของมูลนิธิขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ ให้มูลนิธิมูลนิธิยื่นคำขอตามแบบ ม.น.2 (PDF) และเอกสารประกอบดังนี้ (1) สำเนารายงานการประชุมหรือเอกสารอื่นที่แสดงถึงมติของคณะกรรมการของมูลนิธิให้มีการแต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ (2) บัญชีรายชื่อคณะกรรมการของมูลนิธิชุดเดิม (3) รายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพของผู้จะเป็นกรรมการของมูลนิธิที่ขอแต่งตั้งขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือที่ขอเปลี่ยนแปลง (4) ข้อบังคับของมูลนิธิ (5) ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรประจำตัวอื่นที่หน่วยงานของรัฐออกให้ และภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลตาม (1) และ (2) เว้นแต่ในกรณีที่บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ไม่มีหลักฐานตามที่กำหนด เช่น คนต่างด้าวหรือภิกษุ ให้ใช้หลักฐานอื่นที่สามารถแสดงสถานภาพของบุคคลและถิ่นที่อยู่ในทำนองเดียวกันกับที่กำหนดไว้ดังกล่าวได้ 3. การขอจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ ให้มูลนิธิยื่นคำขอตามแบบ ม.น.2 (PDF) ต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ของมูลนิธิตั้งอยู่ พร้อมหลักฐานดังต่อไปนี้ (1) สำเนารายงานการประชุมหรือเอกสารอื่นที่แสดงถึงมติของคณะกรรมการของมูลนิธิให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ (2) ข้อบังคับของมูลนิธิในปัจจุบันและข้อบังคับของมูลนิธิในส่วนที่ประสงค์จะขอแก้ไขเพิ่มเติม (3) แผนผังโดยสังเขปแสดงที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขาแห่งใหม่ของมูลนิธิและหนังสืออนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ครอบครองให้ใช้สถานที่ดังกล่าว ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานสาขา หรือมีการตั้งสำนักงานสาขาขึ้นใหม่ 4. การเลิกมูลนิธิ ให้คณะกรรมการของมูลนิธิที่อยู่ในตำแหน่งขณะ มีการเลิกมูลนิธิแจ้งการเลิกมูลนิธิต่อนายทะเบียน ตามแบบ ม.น.6 โดยแนบหลักฐานดังต่อไปนี้ (1) ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ (2) ใบสำคัญแสดงการจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของมูลนิธิขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ ซึ่งเป็นกรรมการที่อยู่ในตำแหน่งขณะมีการเลิกมูลนิธิ (3) ข้อบังคับของมูลนิธิ (4) เอกสารการแต่งตั้งผู้ชำระบัญชี (5) สำเนารายงานการประชุมของมูลนิธิที่มีมติให้เลิกมูลนิธิ (6) เอกสารอื่นๆ ถ้ามี อัตราค่าธรรมเนียมมูลนิธิและค่าปรับของทะเบียนมูลนิธิ 1. ค่าคำขอ ฉบับละ 10 บาท 2. ค่าจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิ ครั้งละ 200 บาท 3. ค่าจดทะเบียนแต่งตั้งกรรมการของมูลนิธิขึ้นใหม่ทั้งชุดหรือเปลี่ยนแปลงกรรมการของมูลนิธิ ครั้งละ 50 บาท 4. ค่าจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ ครั้งละ 50 บาท 5. ค่าขอตรวจเอกสารเกี่ยวกับมูลนิธิ ครั้งละ 50 บาท 6. ค่าคัดและรับรองสำเนาเอกสาร ฉบับละ 10 บาท 7. ค่าขอให้นายทะเบียนดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับมูลนิธิ ครั้งละ 50 บาท ซึ่งมิใช่เป็นกรณีตาม ข้อ(2.) (3.) (4.) (5.) หรือ (6.) รายการหนึ่ง 8. มูลนิธิใดมิได้จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับหรือจดทะเบียนแต่งตั้ง ไม่เกิน 10,000 บาท หรือเปลี่ยนแปลงกรรมการต่อนายทะเบียนภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันลงมติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน |
บันทึกคำให้การของบุคคลผู้จะเป็นกรรมการของมูลนิธิ (PDF) |
ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2549 ผู้ประกอบการพาณิชย์ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในท้องที่ของกรุงเทพมหานคร จะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนพาณิชย์ ภายใน 30 วัน ที่ฝ่ายปกครอง สำนักงานเขต หรือ สำนักการคลัง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 1 (เสาชิงช้า) |