แนะผู้เป็นเบาหวานเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
image
 

แนะผู้เป็นเบาหวานเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง

โดย 
| |

 

แนะผู้เป็นเบาหวานเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง thaihealth

 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้เป็นโรคเบาหวานควรกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เน้นควบคุมปริมาณข้าวและผลไม้ พร้อมทั้งหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัว และระดับน้ำตาล

นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกและสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อให้องค์กรสาธารณสุขทั่วโลกได้เห็นความสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน แม้โรคเบาหวานจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถยับยั้งการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ถ้าคุมระดับน้ำตาลและน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ผู้เป็นโรคเบาหวานส่วนใหญ่   จะยังไม่รู้ตัวจนกว่าจะแสดงอาการ เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย กินจุบจิบ แผลหายช้า อ่อนเพลีย ชาปลายมือ ปลายเท้า สายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูง ถ้าปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา อาทิ เบาหวานขึ้นจอประสาทตาจนทำให้ตาบอด มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะจนทำให้ เป็นโรคไตเสื่อม หลอดเลือดที่ขาเสียหายซึ่งมักเป็นร่วมกับอาการเท้าชานั้น  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดแผลที่เท้าในผู้เป็นเบาหวาน จนบางรายต้องตัดขา และยังทำให้เกิดปัญหากับหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง เมื่อมีการอุดตันหรือแตก ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้  ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ครอบครัว และคนใกล้ชิดทั้งผู้ป่วยและภาครัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมหาศาล

นายแพทย์บัญชา  กล่าวต่อไปว่า  การควบคุมอาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ยาเบาหวาน  ที่มีใช้กันโดยทั่วไป สามารถควบคุมน้ำตาลจากอาหารได้เพียง 45 – 60 กรัมต่อมื้อ เมื่อคิดเป็นข้าวสวยจะได้ไม่เกิน 3 – 4 ทัพพีเท่านั้น ในขณะที่อาหารตามสั่งทั่วไปอาจให้ข้าวมากกว่า 4 ทัพพี ซึ่งมีน้ำตาลมากกว่าที่จะควบคุมได้ การเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง วุ้นเส้น ขนมปังโฮลวีท หรือธัญพืชไม่ขัดสีนั้น จะมีใยอาหารช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง แต่ยังจำเป็นต้องควบคุมปริมาณเช่นเดียวกับข้าวขาว จึงไม่ควรนำธัญพืชมากินเพิ่มจากข้าว เช่น กินข้าวกับผัดฟักทอง หรือ ข้าวกับผัดวุ้นเส้น เป็นต้น นอกจากนี้ ควรงดกินน้ำตาลเกินจำเป็น เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ผลไม้เป็นอีกแหล่งที่มีน้ำตาลปริมาณสูงมาก จึงควรเลือกชนิดที่ไม่หวานจัด เช่น กล้วย แอปเปิลเขียว หรือฝรั่ง และกินในปริมาณที่เหมาะสม นมจืดนั้นไม่ควรดื่มเกิน 1 แก้วต่อวัน เนื่องจากนมวัวมีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว (ประมาณ 12 กรัมต่อแก้ว) เช่นเดียวกับนมไขมันต่ำ พร่องมันเนย หรือนมไม่มีไขมันนั้น กำจัดเฉพาะไขมันในนม น้ำตาลนั้นไม่ได้ลดลง สำหรับนมเปรี้ยวส่วนใหญ่จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณสูงจึงไม่ควรกินทุกวัน

“ทั้งนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดปริมาณการใช้ยาหรือการ  ฉีดอินซูลินได้ ควรออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกหรือมีแรงกระแทกต่ำ เช่น เดิน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เลือกความหนัก  ของการออกกำลังกายที่เหมาะสม หากรู้สึกหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่สามารถพูดคุยได้จนจบประโยคโดยไม่หอบขณะเดินหรือออกกำลังกายแบบอื่น แล้วมีอาการเหนื่อย ให้ลดความเร็วลงหรือหยุดพัก แล้วค่อยเดินต่อ ไม่ควรเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ควรเดินเท้าเปล่า เลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย หมั่นตรวจดูแลสุขภาพเท้าสม่ำเสมอ ไม่ให้เกิดแผล ไม่ควรออกกำลังกายในที่ร้อนจัดหรือชื้น ให้จิบน้ำเป็นระยะ ทุก 10 - 15 นาที ที่สำคัญควรระวังระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้เป็นเบาหวานที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรมีระดับน้ำตาลในช่วง 100 – 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูง และผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ถือเป็นการเฝ้าระวังอีกทางหนึ่งด้วย”รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด

 

แนะผู้เป็นเบาหวานเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง

โดย 
| |
อ่าน : 121

ที่มา : กรมอนามัย

แนะผู้เป็นเบาหวานเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง thaihealth

แฟ้มภาพ

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะผู้เป็นโรคเบาหวานควรกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เน้นควบคุมปริมาณข้าวและผลไม้ พร้อมทั้งหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัว และระดับน้ำตาล

นายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกและสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก (World Diabetes Day) เพื่อให้องค์กรสาธารณสุขทั่วโลกได้เห็นความสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน แม้โรคเบาหวานจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถยับยั้งการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ถ้าคุมระดับน้ำตาลและน้ำหนักตัวได้เป็นอย่างดี ผู้เป็นโรคเบาหวานส่วนใหญ่   จะยังไม่รู้ตัวจนกว่าจะแสดงอาการ เช่น น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย กินจุบจิบ แผลหายช้า อ่อนเพลีย ชาปลายมือ ปลายเท้า สายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากน้ำตาลในเลือดสูง ถ้าปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา อาทิ เบาหวานขึ้นจอประสาทตาจนทำให้ตาบอด มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะจนทำให้ เป็นโรคไตเสื่อม หลอดเลือดที่ขาเสียหายซึ่งมักเป็นร่วมกับอาการเท้าชานั้น  เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดแผลที่เท้าในผู้เป็นเบาหวาน จนบางรายต้องตัดขา และยังทำให้เกิดปัญหากับหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง เมื่อมีการอุดตันหรือแตก ทำให้เกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตได้  ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ครอบครัว และคนใกล้ชิดทั้งผู้ป่วยและภาครัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมหาศาล

นายแพทย์บัญชา  กล่าวต่อไปว่า  การควบคุมอาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวานนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ยาเบาหวาน  ที่มีใช้กันโดยทั่วไป สามารถควบคุมน้ำตาลจากอาหารได้เพียง 45 – 60 กรัมต่อมื้อ เมื่อคิดเป็นข้าวสวยจะได้ไม่เกิน 3 – 4 ทัพพีเท่านั้น ในขณะที่อาหารตามสั่งทั่วไปอาจให้ข้าวมากกว่า 4 ทัพพี ซึ่งมีน้ำตาลมากกว่าที่จะควบคุมได้ การเปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง วุ้นเส้น ขนมปังโฮลวีท หรือธัญพืชไม่ขัดสีนั้น จะมีใยอาหารช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง แต่ยังจำเป็นต้องควบคุมปริมาณเช่นเดียวกับข้าวขาว จึงไม่ควรนำธัญพืชมากินเพิ่มจากข้าว เช่น กินข้าวกับผัดฟักทอง หรือ ข้าวกับผัดวุ้นเส้น เป็นต้น นอกจากนี้ ควรงดกินน้ำตาลเกินจำเป็น เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน น้ำอัดลม ผลไม้เป็นอีกแหล่งที่มีน้ำตาลปริมาณสูงมาก จึงควรเลือกชนิดที่ไม่หวานจัด เช่น กล้วย แอปเปิลเขียว หรือฝรั่ง และกินในปริมาณที่เหมาะสม นมจืดนั้นไม่ควรดื่มเกิน 1 แก้วต่อวัน เนื่องจากนมวัวมีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว (ประมาณ 12 กรัมต่อแก้ว) เช่นเดียวกับนมไขมันต่ำ พร่องมันเนย หรือนมไม่มีไขมันนั้น กำจัดเฉพาะไขมันในนม น้ำตาลนั้นไม่ได้ลดลง สำหรับนมเปรี้ยวส่วนใหญ่จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในปริมาณสูงจึงไม่ควรกินทุกวัน

“ทั้งนี้ การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถลดปริมาณการใช้ยาหรือการ  ฉีดอินซูลินได้ ควรออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกหรือมีแรงกระแทกต่ำ เช่น เดิน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เลือกความหนัก  ของการออกกำลังกายที่เหมาะสม หากรู้สึกหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่สามารถพูดคุยได้จนจบประโยคโดยไม่หอบขณะเดินหรือออกกำลังกายแบบอื่น แล้วมีอาการเหนื่อย ให้ลดความเร็วลงหรือหยุดพัก แล้วค่อยเดินต่อ ไม่ควรเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ไม่ควรเดินเท้าเปล่า เลือกรองเท้าที่เหมาะสมกับการออกกำลังกาย หมั่นตรวจดูแลสุขภาพเท้าสม่ำเสมอ ไม่ให้เกิดแผล ไม่ควรออกกำลังกายในที่ร้อนจัดหรือชื้น ให้จิบน้ำเป็นระยะ ทุก 10 - 15 นาที ที่สำคัญควรระวังระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะผู้เป็นเบาหวานที่ใช้ยาฉีดอินซูลิน ควรมีระดับน้ำตาลในช่วง 100 – 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป หรือมีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูง และผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน จึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ถือเป็นการเฝ้าระวังอีกทางหนึ่งด้วย”รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด