โดยหลักการควรตัดออกทันทีเมื่อแผลติด เพราะถ้าตัดไหมยิ่งช้าจะยิ่งเป็นแผลเป็นมาก แต่ถ้าตัดเร็วไปแผลก็อาจแยกและไม่ติด ดังนั้นจึงควรตัดไหมเร็วที่สุดที่แผลติดแล้วนั่นเอง ซึ่งสามารถแบ่งตามอวัยวะได้ดังนี้คือ แผลบริเวณศีรษะและหน้า ควรตัดเมื่อครบ 5-7 วัน, แผลบริเวณลำตัวที่ผิวหนังไม่ตึงมาก ควรตัดเมื่อครบ 7 วัน, แผลบริเวณแขนขาหรือที่ผิวหนังตึงมาก ควรตัดเมื่อครบ 7-10 วัน หรืออาจถึง 10-14 วันในบริเวณข้อเข่า ข้อศอกที่มีการเคลื่อนไหวมาก หรือบริเวณฝ่าเท้าซึ่งแผลจะหายช้ากว่าบริเวณอื่นๆ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า มีดังนี้

กรณีฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
          - หากไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อน แล้วมาถูกสัตว์กัด จะต้องฉีดทั้งหมด 5 เข็มที่กล้ามเนื้อต้นแขน โดยฉีดในวันที่ 0 (วันที่เริ่มฉีด) วันที่ 3, 7, 14 และวันที่ 28 แต่หากแผลที่ถูกสัตว์กัดอยู่ใกล้อวัยวะที่มีเส้นประสาทไปเลี้ยงมาก เช่น ใบหน้า หรือมีแผลฉกรรจ์มาก จะต้องฉีดเซรุ่ม หรือวัคซีนอิมมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) เพิ่มด้วย เนื่องจากวัคซีนต้องใช้เวลาในการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง แต่โรคพิษสุนัขบ้าเป็นแล้วตายจึงรอไม่ได้ จึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนร่วมกับเซรุ่มทันที โดยฉีดรอบแผลทุกแผลร่วมกับการฉีดวัคซีน.ในวันที่0
          - หากเคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อนแล้วครบตามจำนวน แล้วมาถูกสุนัขกัดอีก ก็ไม่ต้องเริ่มฉีดใหม่ เพียงแค่ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มอีก 1 เข็มในวันที่โดนกัด (กรณีวันที่ฉีดเข็มสุดท้ายผ่านมาไม่เกิน 6 เดือน) หรือ 2 เข็ม (กรณีวันที่ฉีดเข็มสุดท้ายผ่านมาเกิน 6 เดือนแล้ว) ในวันที่ 0 และ 3 โดยไม่ต้องฉีดเซรุ่ม

กรณีฉีดเข้าชั้นผิวหนัง
          - หากไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันมาก่อนแล้วมาถูกสัตว์กัด จะต้องฉีดวัคซีนเข้าผิวหนัง 4 ครั้ง ครั้งละ 2 จุด คือต้นแขนทั้ง 2 ข้าง ฉีดในวันที่ 0 (วันที่เริ่มฉีด), 3, 7 และวันที่ 28 
          - หากเคยฉีดวัคซีนป้องกันมาแล้วครบตามจำนวน แล้วมาถูกกัดอีก ก็เพียงแค่ฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มเช่นกัน โดยฉีด 1 เข็ม 1 จุด หากช่วงที่ถูกกัดห่างจากการฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายมาน้อยกว่า 6 เดือน แต่หากฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายมานานกว่า 6 เดือน ก็ต้องฉีดกระตุ้นอีก 2 เข็ม ครั้งละ 1 จุด ในวันที่ 0 และวันที่ 3 และไม่ต้องฉีดเซรุ่มด้วย
Page 1 of 1