[Work & Life] ‘หมดยุค Work-life balance?’ Work-life fit เทรนด์ใหม่ ปรับชีวิตให้ลงตัวยิ่งกว่าที่เคยเป็น
[Work & Life] ‘หมดยุค Work-life balance?’ Work-life fit เทรนด์ใหม่ ปรับชีวิตให้ลงตัวยิ่งกว่าที่เคยเป็น
.
.
“รู้สึกชีวิตไม่มีความสุข แม้จะพยายามแบ่งเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวเท่าๆ กันแล้ว”
“เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ แม้จะพักผ่อนเต็มที่แล้วก็ตาม”
“อยากทำงานให้ดี แต่ก็ไม่อยากเสียเวลาส่วนตัวไป”
.
ในยุคที่ความสำเร็จกลายเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของคน หลายคนพยายามทุ่มเทให้กับการทำงานจนละเลยชีวิตส่วนตัว ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพกายและใจตามมา
.
แนวคิด ‘Work-life balance’ เคยเป็นคำตอบที่หลายคนเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ แต่ในความเป็นจริง การแบ่งเวลาให้เท่ากันระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอย่างเคร่งครัดนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากและอาจไม่เหมาะกับทุกคน
.
แล้วจะทำอย่างไรให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ยังมีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวได้อย่างเต็มที่?
.
แนวคิด ‘Work-life fit’ เทรนด์การจัดระเบียบเวลาแบบใหม่ที่จะช่วยให้คุณปรับงานให้เข้ากับชีวิตได้อย่างลงตัว
.
Work-life fit หมายถึง การเชื่อมโยงชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวเข้าด้วยกัน โดยที่ทั้งสองส่วนสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อกันและกัน แนวคิดนี้มีความยืดหยุ่นและเป็นปัจเจกมากกว่า Work-life balance ที่มักจะเน้นการแบ่งแยกระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอย่างชัดเจน
.
คำว่า fit บ่งบอกถึงเป้าหมายในการกำหนดค่าที่เหมาะสมกับความต้องการและลำดับความสำคัญเฉพาะของแต่ละคน โดยตระหนักว่าความสมดุลอาจไม่เท่ากันเสมอไป และอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล โดยประโยชน์ของ Work-life fit คือ
.
1. สุขภาพกายและใจดีขึ้น: พนักงานที่สามารถจัดการชีวิตได้อย่างลงตัวจะมีความเครียดน้อยลง และมีความสุขมากขึ้น
2. ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น: เมื่อรู้สึกว่าชีวิตลงตัว พนักงานจะสามารถทุ่มเทให้กับงานได้อย่างเต็มที่
3. ความพึงพอใจในงานสูงขึ้น: การที่องค์กรเข้าใจและสนับสนุนความต้องการส่วนบุคคล ทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
4. อัตราการลาออกลดลง: เมื่อพนักงานมีความสุขและรู้สึกว่าชีวิตลงตัว โอกาสที่จะลาออกก็น้อยลง
.
.
การปรับชีวิตให้เป็น Work-life fit ลองทำตาม 5 ขั้นตอนนี้
.
1. มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญ: กำหนดสิ่งที่สำคัญที่สุดทั้งในอาชีพการงานและชีวิตส่วนตัวของคุณ อาจเป็นเป้าหมายในการเลื่อนตำแหน่ง หรือการมีเวลาคุณภาพกับครอบครัว เมื่อรู้ว่าอะไรสำคัญ คุณจะสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น
.
2. ประเมินตัวเอง: ค้นหาสไตล์การทำงานที่เหมาะกับตัวคุณ บางคนอาจทำงานได้ดีที่สุดเมื่อทำงานที่บ้าน ในขณะที่บางคนอาจต้องการสภาพแวดล้อมของออฟฟิศ การรู้จักตัวเองจะช่วยให้คุณสามารถปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมได้
.
3. อย่าลืมครอบครัว: ลองนำครอบครัวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมการชีวิตการทำงาน เช่น การพาลูกไปส่งที่โรงเรียนก่อนไปทำงาน หรือการใช้เวลาพักกลางวันโทรหาคู่สมรส การผสมผสานเช่นนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกว่าชีวิตลงตัวมากขึ้น
.
4. ปรับชีวิตการทำงานให้เข้ากับชีวิตส่วนตัว: แทนที่จะพยายามแยกงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน ลองหาวิธีที่จะทำให้ทั้งสองส่วนนี้เสริมซึ่งกันและกัน เช่น การใช้ทักษะที่เรียนรู้จากงานอดิเรกมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน
.
5. ค้นหาสิ่งที่เหมาะสม: มองหาองค์กรหรือตำแหน่งงานที่สนับสนุนแนวคิด Work-life fit บางบริษัทอาจมีนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น หรือให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
.
Work-life fit ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่จะเหมือนกันสำหรับทุกคน แต่เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณค้นพบวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง ในการทำให้ชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวดำเนินไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นและมีความสุข
.
Credit :