การกำจัดของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ
การกำจัดของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ
ที่มา: หลักสูตรการกำจัดของเสียอันตรายในห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
สารชีวภาพอันตราย
ระดับความปลอดภัย |
ระดับอันตรายของจุลินทรีย์ |
|
Biosafety Level 1 |
Class 1 |
|
Biosafety Level 2 |
Class 2 |
|
Biosafety Level 3 |
Class 3 |
|
Biosafety Level 4 |
Class 4 |
การทำงานอย่างถูกต้องและปลอดภัยในห้องปฏิบัติการ
หลักการทำงานอย่างปลอดภัย
- รู้ว่าปลอดภัยคืออะไร : ความหมายของคำว่าปลอดภัย
- รู้ว่าอันตรายอยู่ที่ไหน เกิดผลกระทบต่อใคร : ค้นหาอันตรายและประเมินความเสี่ยงภัย
- รู้ว่าป้องกัน/แก้ไขอันตรายได้อย่างไร : ประเมินความเสี่ยงภัย
- รู้ว่าตรวจสอบเมื่อไหร่ : ตรวจสอบความปลอดภัย
- รู้ว่าจัดการให้ปลอดภัยได้อย่างไร : จัดระบบการจัดการความปลอดภัย
การให้ความรู้พื้นฐานกับผู้ปฏิบัติงาน
- กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ระบบการจัดการความปลอดภัย
- ลักษณะทางกายภาพของห้องปฏิบัติการกับความปลอดภัย
- ระบบการจัดการสารเคมี
- ระบบการจัดการของเสีย
- การประเมินความเสี่ยง
- ระบบควบคุมภาวะฉุกเฉินและการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย
ขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการทำงานปลอดภัย
- จัดทำนโยบายและระเบียบข้อบังคับด้านความปลอดภัย
- จัดทำโครงสร้างขององค์กร และหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัย
- จัดหา เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยประจำห้องปฏิบัติการ และเฉพาะบุคคล
- จัดการสารเคมีเพื่อความปลอดภัย
- ประเมินความเสี่ยงภัยในการทำงานกับสารเคมี
- จัดการของเสียอันตราย
- ฝึกอบรมเพื่อความปลอดภัย
- จัดระบบควบคุมภาวะฉุกเฉินและการตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย
หลักการในการป้องกันอันตรายจากการทำงาน
- รู้จักอันตรายและแหล่งอันตรายในสถานที่ทำงาน
- รู้จักวิธีการประเมินระดับอันตรายและประเมินความเสี่ยงภัย
- รู้จักวิธีการขจัดอันตรายและป้องกันอันตรายโดยใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและการใช้ป้ายสัญลักษณ์
เพื่อความปลอดภัย
- เรียนรู้จากอุบัติเหตุที่เคยเกิดขึ้นจากรายงานการเกิดอุบัติเหตุ
- ตรวจสอบติดตามและทบทวนอันตรายโดยการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นระยะ
ระบบสากลการจำแนกประเภทและการติดฉลากสารเคมี GHS (Globally Harmonized System)
การจำแนกความเป็นอันตราย
- ทางกายภาพ
ประเภทความเป็นอันตราย | ประเภทย่อย | ||||||
1. วัตถุระเบิด | วัตถุระเบิดไม่เสถียร | 1.1 | 1.2 | 1.3 | 1.4 | 1.5 | 1.6 |
2. ก๊าซไวไฟ | 1 | 2 | |||||
3. ละอองลอยไวไฟ | 1 | 2 | |||||
4. ก๊าซออกซิไดซ์ | 1 | ||||||
5. ก๊าซอัดภายใต้ความดัน | |||||||
ก๊าซอัด | 1 | ||||||
ก๊าซเหลว | 1 | ||||||
ก๊าซเหลวอุณหภูมิต่ำ | 1 | ||||||
ก๊าซในสารละลาย | 1 | ||||||
6. ของเหลวไวไฟ | 1 | 2 | 3 | 4 | |||
7. ของแข็งไวไฟ | 1 | 2 | |||||
8. สารที่ทำปฏิกิริยาได้เอง | ชนิด A | ชนิด B | ชนิด C | ชนิด D | ชนิด E | ชนิด F | ชนิด G |
9. ของเหลวที่ลุกติดไฟได้เองในอากาศ | 1 | ||||||
10. ของแข็งที่ลุกติดไฟได้เองในอากาศ | 1 | ||||||
11. สารที่เกิดความร้อนได้เอง | 1 | 2 | |||||
12. สารที่สัมผัสน้ำแล้วให้ก๊าซไวไฟ | 1 | 2 | 3 | ||||
13. ของเหลวออกซิไดซ์ | 1 | 2 | 3 | ||||
14. ของแข็งออกซิไดซ์ | 1 | 2 | 3 | ||||
15. สารเพอร์ออกไซด์ | ชนิด A | ชนิด B | ชนิด C | ชนิด D | ชนิด E | ชนิด F | ชนิด G |
16. สารกัดกร่อนโลหะ | 1 |
- ทางสุขภาพ
ประเภทความเป็นอันตราย | ประเภทย่อย | ||||
1. ความเป็นพิษเฉียบพลัน, ทางปาก | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
ความเป็นพิษเฉียบพลัน, ทางผิวหนัง | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
ความเป็นพิษเฉียบพลัน, ทางการหายใจ | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
2. การกัดกร่อนและการระคายเคืองผิวหนัง | 1A | 1B | 1C | 2 | 3 |
3. การทำลายดวงตาอย่างรุนแรง และการระคายเคืองต่อดวงตา | 1 | 2A | 2B | ||
4. การทำให้ไวต่อการกระตุ้นอาการแพ้ต่อระบบทางเดินหายใจหรือผิวหนัง | 1 | ||||
5. การก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์สืบพันธุ์ | 1A | 1B | 2 | ||
6. การก่อมะเร็ง | 1A | 1B | 2 | ||
7. ความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ | 1A | 1B | 2 | ผลต่อน้ำนมแม่ | |
8. ความเป็นพิษต่อระบบอวัยวะเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงจากการสัมผัส ครั้งเดียว |
1 | 2 | 3 | ||
9. ความเป็นพิษต่อระบบอวัยวะเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงจากการสัมผัสซ้ำ | 1 | 2 | |||
10. ความเป็นอันตรายจากการสำลัก | 1 | 2 |
- ทางสิ่งแวดล้อม
ประเภทความเป็นอันตราย | ประเภทย่อย | ||||
1. ความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในน้ำ (เฉียบพลัน) | 1 | 2 | 3 | ||
ความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในน้ำ (เรื้อรัง) | 1 | 2 | 3 | 4 |
ระบบการจัดการสารเคมี
การจัดการสารเคมี
- แยกตามสถานะของสารเคมี โดยจำแนกสารเคมีออกเป็น ของแข็ง, ของเหลว, ก๊าซ
- แยกตามสมบัติ อันตรายของสารเคมี : สารเคมีไวไฟ, สารเคมีทำปฏิกิริยา, สารเคมีกัดกร่อนและสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ โดยใช้ระบบรหัสสี (Color code system)
- ใช้ระดับอันตรายตามมาตรฐาน NFPA (National Fire Protection Association)
- พิจารณาจากระดับความเป็นอันตรายที่แสดงระดับอันตรายสูงสุด
- จัดทำฉลากรหัสสี เพื่อจัดแยกประเภทสารเคมี
- ติดฉลากรหัสสีที่ขวดสารเคมี บริเวณด้านบน โดยฉลากไม่ทับตัวหนังสือ
- นำขวดสารเคมีที่ติดฉลากรหัสสีจัดเก็บไว้บนชั้นวางสารเคมีตามกลุ่มรหัสสีที่ได้แยกประเภทสารเคมี
ไว้แล้ว
- มีการระบายอากาศเป็นอย่างดี
- ไม่โดนแสงโดยตรงและไม่ร้อนเกินไป
- แยกบริเวณการเก็บโดยใช้รหัสสี
- ชั้นวางต้องติดตั้งหรือประกอบอย่างแน่นหนาและอยู่ชิดผนัง
- ห้องจัดเก็บมีประตูปิดมิดชิด
- ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง/ป้องกันอยู่ใกล้ห้องเก็บสารเคมี
สารเคมีที่เป็นก๊าซ : ถังก๊าซที่อัดจากความดันสูง
- ติดฉลากบอกชื่อ
- ยึดถังก๊าซกับผนังด้วยสายหนังหรือโซ่คล้อง
- กรณีใช้ชั่วคราว หลังใช้ให้ปิดวาล์ว ไล่ความดันและถอดตัวควบคุมความดันและปิดฝาครอบ
- แยกถังก๊าซออกจากที่เก็บสารเคมีอื่น
- จัดแยกตามประเภท
- แยกถังเปล่าออก
- ต้องทราบคุณสมบัติกายภาพ กลิ่น สี
- ในห้องปฏิบัติการควรต้องมี Spill kit เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการกับสารเคมีที่หกตกแตก
หรือรั่วไหล - ต้องมีวิธีการขั้นตอนในการจัดการสารเคมีหกตกหล่นเพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง
ปลอดภัย
1. จัดระบบการทำงานเพื่อความปลอดภัย
- จัดทำนโยบายด้านความปลอดภัยในการทำงาน
- จัดทำระเบียบข้อควรปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน
- จัดทำข้อกำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการต้องเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรความปลอดภัยใน
การทำงานตามระดับความรับผิดชอบ - จัดทำข้อกำหนดการทำงานห้องปฏิบัติการโดยใช้ Safety Card
- ฝึกอบรมการใช้เครื่องมืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและอุปกรณ์การแจ้งเหตุ/ระงับเหตุฉุกเฉิน
ประกอบด้วย 2 ส่วน
1) เครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
- ตู้ดูดควัน (Fume Hood)
- ตู้ปลอดเชื้อ (Laminar Flow)
- อ่างล้างตา (Eye Wash)
- ฝักบัวนิรภัย (Emergency Shower)
2) อุปกรณ์ป้องกันเฉพาะบุคคล
Lab Coats | เสื้อกาวน์แขนยาวควรสวมตลอดเวลาที่ทำงานในห้องปฏิบัติการและถอดออก ก่อนออกจากห้องปฏิบัติการหรือเข้าไปในสำนักงาน/ห้องพัก/พื้นที่สะอาด |
Gloves | - ใช้ถุงมือในชนิดและรูปแบบที่ถูกต้องเหมาะสมกับชนิดของงานที่ทำ - Neoprene : Chemical Resistance Glove - Nitrite : Chemical Resistance Glove - ป้องกันความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงาน |
แว่นตาและที่ครอบตา | ใช้ในการป้องกันใบหน้าและดวงตาจากสารเคมี/ไฟฟ้า |
Mask | ป้องกันอันตรายจากสารเคมีและสารชีวภาพ/เชื้อจุลชีพ |
การประเมินความเสียงภัยและตรวจสอบความถูกต้อง
- จัดฝึกอบรมการประเมินความเสี่ยงภัยและตรวจสอบความปลอดภัยให้กับผู้ควบคุมดูแลห้องปฏิบัติการ
- จัดประเมินความเสี่ยงภัยในการทำงานทั้งในส่วนของสถานที่ทำงานและผู้ปฏิบัติงาน
- ตรวจสอบความปลอดภัยในสถานที่ทำงานพร้อมจัดทำแผนงานเพื่อควบคุมอันตรายและความเสี่ยงภัย
ให้อยู่ในระดับมาตรฐาน - จัดให้มีการประเมินความเสี่ยงภัยและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- จัดหาเครื่องมืออุปกรณ์เตือนภัยแจ้งเหตุ/ระงับเหตุฉุกเฉินและจัดระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน
: Smoke Alarm, Heat Detector, SOS, Fire Alarm - จัดหาถังดับเพลิง/ระบบดับเพลิงพร้อมติดตั้งให้ถูกต้องและเหมาะสม
- ฝึกอบรมดับเพลิงเบื้องต้น
- เตรียมพื้นที่อพยพในอาคาร
- จัดซ้อมอพยพหนีภัย/หนีไฟ
- จัดหา Spill kit พร้อมวิธีปฏิบัติเมื่อสารเคมีหกตกหล่น
- จัดหาอุปกรณ์ระงับเหตุฉุกเฉินจากสารเคมี
- จัดหาป้ายแผนผังแสดงอุปกรณ์ระงับเหตุในอาคาร
จัดแยกของเสียโดยเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคมีที่มีอยู่ในของเสียกับมาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม
- ต้องทราบปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในการทดลองวิเคราะห์
- หาข้อมูลความเข้มข้น ปริมาณที่ใช้ ของสารเคมีทุกชนิด ที่ต้องใช้ในพารามิเตอร์ที่ต้องการวิเคราะห์
- พิจารณาความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดที่เตรียมไว้แต่ละพารามิเตอร์ว่าเกินมาตรฐานน้ำทิ้ง
อุตสาหกรรมหรือไม่ หากไม่เกินจะตัดออกและไม่นำมาพิจารณา - พิจารณาความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดว่า เมื่ออยู่ในสถานะของเสียแล้วมีความเข้มข้นเป็นเท่าใด
นำความเข้มข้นนั้นมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานน้ำทิ้งอุสาหกรรม หากเกินมาตรฐานจำต้องนำมา
พิจารณาการจัดแยกของเสีย - หากความเข้มข้นของสารเคมีทุกชนิดที่อยู่ในของเสียที่นำมาพิจารณาต่ำกว่ามาตรฐานน้ำทิ้งสามารถทิ้ง
ลงท่อน้ำทิ้งในห้องปฏิบัติการได้ - กรณีสารเคมีที่ใช้ในการวิเคราะห์ทดสอบไม่มีอยู่ในมาตรฐานน้ำทิ้ง ให้พิจารณาในการจัดแยกของเสีย
ควบคู่กับการใช้ MSDS ประกอบการพิจารณาจัดแยก
มาตรฐานน้ำทิ้งอุตสาหกรรม
ดัชนีคุณภาพน้ำ | ค่ามาตรฐาน | วิธีวิเคราะห์ |
1.ค่าความเป็นกรดและด่าง (pH value) | 5.5-9.0 | pH Meter |
2.ค่าทีดีเอส (TDS หรือ Total Dissolved Solids) | ไม่เกิน 3,000 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ละประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้งหรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรม ที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 5,000 มก./ล. | ระเหยแห้งที่อุณหภูมิ 103-105 °C เป็นเวลา 1 ชั่วโมง |
น้ำทิ้งที่จะระบายลงแหล่งน้ำกร่อยที่มีค่าความเค็ม(Salinity) เกิน 2,000 มก./ล. หรือลงสู่ทะเล ค่าทีดีเอสในน้ำทิ้งจะมีค่ามากกว่าค่าทีดีเอส ที่มีอยู่ในแหล่งน้ำกร่อยหรือน้ำทะเลได้ไม่เกิน 5,000 มก./ล. |
||
3.สารแขวนลอย (Suspended Solids) | ไม่เกิน 50 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้ง หรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรม หรือประเภทของระบบบำบัดน้ำเสีย ตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 150 มก./ล. |
กรองผ่านกระดาษกรองใยแก้ว (Glass Fiber Filter Disc) |
4.อุณหภูมิ (Temperature) | ไม่เกิน 40 °C | เครื่องวัดอุณหภูมิ วัดขณะทำการเก็บตัวอย่างน้ำ |
5.สีหรือกลิ่น | ไม่เป็นที่พึงรังเกียจ | ไม่ได้กำหนด |
6.ซัลไฟด์ (Sulfide as H2S) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | Titrate |
7.ไซยาไนด์ (Cyanide as HCN) | ไม่เกิน 0.2 มก./ล. | กลั่นและตามด้วยวิธี Pyridine Barbituric Acid |
8.น้ำมันและไขมัน (Fat, Oil and Grease) | ไม่เกิน 5.0 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้ง หรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 15 มก./ล. | สกัดด้วยตัวทำละลาย แล้วแยกหาน้ำหนักของน้ำมันและไขมัน |
9.ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | Spectrophotometry |
10.สารประกอบฟีนอล (Phenols) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | กลั่นและตามด้วยวิธี 4-Aminoantipyrine |
11.คลอรีนอิสระ (Free Chlorine) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | Iodometric Method |
12.สารที่ใช้ป้องกันหรือกำจัดศัตรูพืชหรือสัตว์ (Pesticide) | ต้องตรวจไม่พบตามวิธีตรวจสอบที่กำหนด | Gas-Chromatography |
13.ค่าบีโอดี (5 วันที่อุณหภูมิ 20 °C (Biochemical Oxygen Demand : BOD)) |
ไม่เกิน 20 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้ง หรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 60 มก./ล. | Azide Modification ที่อุณหภูมิ 20 °C เป็นเวลา 5 วัน |
14.ค่าทีเคเอ็น (TKN หรือ Total Kjeldahl Nitrogen) | ไม่เกิน 100 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้ง หรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 200 มก./ล. | Kjeldahl |
15.ค่าซีโอดี (Chemical Oxygen Demand : COD) | ไม่เกิน 120 มก./ล. หรืออาจแตกต่างแล้วแต่ประเภทของแหล่งรองรับน้ำทิ้ง หรือประเภทของโรงงานอุตสาหกรรมตามที่คณะกรรมการควบคุมมลพิษเห็นสมควรแต่ไม่เกิน 400 มก./ล. | Potassium Dichromate Digestion |
16.โลหะหนัก (Heavy Metal) | ||
1)สังกะสี (Zn) | ไม่เกิน 5.0 มก./ล. | Atomic Absorption Spectro Photometry ชนิด Direct Aspiration หรือวิธี Plasma Emission Spectroscopy ชนิด Inductively Coupled Plasma : ICP |
2)โครเมียมชนิดเฮกซาวาเล้นท์ (Hexavalent Chromium) |
ไม่เกิน 0.25 มก./ล. | |
3)โครเมียมชนิดไตรวาเล้นท์ (Trivalent Chromium) |
ไม่เกิน 0.75 มก./ล. | |
4)ทองแดง (Cu) | ไม่เกิน 2.0 มก./ล. | |
5)แคดเมียม (Cd) | ไม่เกิน 0.03 มก./ล. | |
6)แบเรียม (Ba) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | |
7)ตะกั่ว (Pb) | ไม่เกิน 0.2 มก./ล. | |
8)นิคเกิล (Ni) | ไม่เกิน 1.0 มก./ล. | |
9)แมงกานีส (Mn) | ไม่เกิน 5.0 มก./ล. | |
10)อาร์เซนิค (As) | ไม่เกิน 0.25 มก./ล. | Atomic Absorption Spectro Photometry ชนิด Direct Aspiration หรือวิธี Plasma Emission Spectroscopy ชนิด Inductively Coupled Plasma : ICP |
11)เซเลเนียม (Se) | ไม่เกิน 0.02 มก./ล. | |
12)ปรอท (Hg) | ไม่เกิน 0.005 มก./ล. | Atomic Absorption Cold Vapour Technique |
หลักการและแนวทางปฏิบัติในการจัดการของเสียในห้องปฏิบัติการ
- จัดแยกประเภท/ชนิดของเสีย
- จัดเก็บของเสียโดยวิธีมาตรฐาน
- Reuse, Recycle, Waste Exchange
- บำบัดของเสีย : บำบัดเอง/ส่งบำบัด
- กำจัดของเสีย : ส่งกำจัด
- ห้องปฏิบัติการส่วนมากไม่มีระบบการจัดการของเสียอันตรายที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
- ขาดข้อมูลสถานการณ์ปัญหาในปัจจุบัน
- ขาดกฎหมายควบคุมการจัดการของเสียจากห้องปฏิบัติการบางประเภท
- ขาดกระบวนการติดตาม ตรวจสอบการปล่อยทิ้งของเสียจากห้องปฏิบัติการ
- ความยุ่งยากในการจัดการของเสียอันตรายจากห้องปฏิบัติการ เนื่องจากความหลากหลายและปริมาณ
ของของเสียที่เกิดขึ้น - ขาดผู้รับบำบัด กำจัด หรือตั้งอยู่ไกล หรือราคาสูงเกินไป
- ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง การสัมผัสหรือเกี่ยวข้องกับของเสียที่เป็นอันตรายซึ่งประกอบด้วยสารพิษที่เป็นสารก่อมะเร็งอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้โดยเฉพาะเมื่อได้รับสารเหล่านั้นเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ
- ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น การที่ได้รับสารเคมีหรือสารโลหะหนักบางชนิดเข้าไปในร่างกาย อาจทำให้เจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆจนอาจถึงตายได้
- ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ สารโลหะหนักหรือสารเคมีต่างๆที่เจือปนอยู่ในของเสียที่เป็นอันตราย นอกจากจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์แล้ว ยังเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งพืชและสัตว์ ทำให้เจ็บป่วยและตายได้เช่นกัน หรือถ้าได้รับสารเหล่านั้นในปริมาณไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน ก็อาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างของโครโมโซมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม นอกจากนี้การสะสมของสารพิษไว้ในพืชหรือสัตว์แล้วถ่ายทอดไปตามห่วงโซ่อาหารในที่สุดเป็นอันตรายต่อมนุษย์ซึ่งนำพืชและสัตว์ดังกล่าวมาบริโภค
- ทำให้เกิดผลเสียหายต่อทรัพย์สินและสังคม เช่น เกิดไฟไหม้ เกิดการกัดกร่อนเสียหายของวัสดุ เกิดความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลทางอ้อมทำให้เกิดปัญหาทางสังคมด้วย