วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558
รายงานผลการศึกษาดูงานโครงการทุ่งทานตะวันเฉลิมพระเกียรติ สำนักงานเขตลาดพร้าว เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2558
รายงานผลการศึกษาดูงานโครงการทุ่งทานตะวันเฉลิมพระเกียรติ วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558ณ สำนักงานเขตลาดพร้าว
ผู้ร่วมศึกษาดูงานจำนวน 9 คนประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกองยุทธศาสตร์สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมจำนวน 6 คนและผู้แทนของกองสารสนเทศภูมิศาสตร์ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาฐานข้อมูลและระบบติดตามประเมินผลการเพิ่มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพมหานครจำนวน 2 คน รองผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล (นายซีรอซันคาร ปาทาน) เป็นหัวหน้าคณะการศึกษาดูงานในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนประกอบด้วย
- โครงการสวนลอยลาดพร้าว เป็นโครงการให้บริการที่ดีที่สุด (Best Service)ของสำนักงานเขตลาดพร้าวดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2557ดำเนินการปลูกผักสวนครัวบนดาดฟ้าอาคารสำนักงานเขต ใช้แนวทางเกษตรอินทรีย์ นำน้ำหมักที่ได้จากเศษผักผลไม้จากตลาดมาทำเป็นน้ำหมักชีวภาพ ใช้เป็นปุ๋ยแทนปุ๋ยเคมี ในแปลงผักสวนครัวมีการดำเนินการในหลายกิจกรรม
- ปลูกผักสวนครัวเช่น คะน้า ผักบุ้ง บวบ หอมแดง เป็นต้น
- เพาะเห็ด
- ทำน้ำหมักชีวภาพ
- ทำปุ๋ยหมักจากเศษกิ่งไม้ ใบไม้
- เพาะเลี้ยงใส้เดือนเพื่อกำจัดขยะอินทรีย์ โดยนำมูลและปัสสาวะของใส้เดือนทำเป็น
- โครงการทุ่งทานตะวันเฉลิมพระเกียรติ
สำนักงานเขตลาดพร้าวเริ่มดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2547 โดยเริ่มต้นจากการตรวจสอบหาเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นของบริษัทสยามประชาคาร จำกัด และขออนุญาตใช้พื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้สำนักงานเขตฯ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรขออนุญาตใช้พื้นที่กับบริษัทเอกชนเจ้าของพื้นที่ขอใช้ที่ดินโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ปลูกไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ จะคืนพื้นที่ทันทีที่ทางบริษัทต้องการ
วัตถุประสงค์
เพื่อปรับปรุงพื้นที่รกร้างว่างเปล่าในพื้นที่เขตซึ่งอาจเป็นแหล่งก่อให้เกิดอันตรายจากปัญหา
อาชญกรรม และเพลิงไหม้หญ้าแห้งการดำเนินดังกล่าวผ่านการจัดทำ “โครงการทุ่งทานตะวันเฉลิมพระเกียรติ” นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่
เป้าหมายดำเนินการ
ปรับปรุงพื้นที่รกร้างว่างเปล่าของบริษัทสยามประชาคาร จำกัด บริเวณหลังโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ริมถนนประเสริฐมนูกิจ (เกษตร-นวมินทร์) พื้นที่ 25 ไร่ ปรับรูปแบบเป็นพื้นที่การเรียนรู้ของชุมชนผ่านการสร้างเป็น “ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์”
การดำเนินการ
สำนักงานเขตลาดพร้าวแบ่งพื้นที่ 25 ไร่ออกเป็น
- พื้นที่ปลูกทานตะวันจำนวน 10 ไร่ ใช้พันธุ์ลูกผสมแปซิฟิก(อะควอร่า 6)
- พื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัวและทำปุ๋ยหมักจากกิ่งไม้ ใบไม้จำนวน 4 ไร่
- พื้นที่ทำนาจำนวน 1 ไร่
- พื้นที่แหล่งน้ำจำนวน 10 ไร่
- แก้ปัญหาขยะอินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากกิ่งไม้ใบไม้ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของกรุงเทพมหานครเป็น Zero waste เนื่องจากขยะทั้งหมดถูกนำไปหมักกลายเป็นปุ๋ยซึ่งนำไปใช้ทั้งหมดในแปลงทำการเกษตร
- บรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานของสำนักงานเขตฯ จากผลผลิตการเกษตรที่เกิดขึ้นจากพื้นที่เกษตรกรรมแจกจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารทำให้มีเงินเหลือมากยิ่งขึ้น
- เพิ่มความปลอดภัย จากพื้นที่เดิมซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างซึ่งเสี่ยงต่อการจะเกิดอาชญกรรม และเกิดเพลิงไหม้ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับโรงเรียนสตรีวิทยา 2 ลดความสูญเสียและลดคดีอาชญากรรม และลดคดีการเกิดเพลิงไหม้
- สร้างแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรใจกลางเมือง ศูนย์เรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นแหล่งที่ให้ประชาชน นักเรียนและนักศึกษาที่สนใจการทำการเกษตรมีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์การปลูกผัก ทำนา และไร่ทานตะวัน ทั้งในด้านการปลูก บำรุง ดูแล และรักษาโดยไม่ต้องเดินทางไปศึกษาไกลๆ สามารถนำผู้สนใจหรือนักเรียนเข้ามาศึกษาและเรียนรู้ได้บ่อยๆและสำนักงานเขตเข้าไปใความรู้กับนักเรียนในโรงเรียนทั้งสังกัดกรุงเทพมหานครและนอกสังกัดกรุงเทพมหานคร
- ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และประชาชน โดยบริษัทเอกชนฯ ให้การสนับสนุนที่ดินนำไปพัฒนาไม่ให้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ให้การสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรจากบริษัทคูโบต้ามหาวิทยาลัยให้การสนับสนุนองค์ความรู้ในการทำการเกษตร เตรียมพื้นที่ และการเก็บเกี่ยวผลผลิตเป็นต้น ประชาชนมีส่วนร่วมในการปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตรที่เกิดขึ้น
- นอกเหนือจากเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้โดยมีเขตเป็นผู้ให้ความรู้ควรขยายโอกาสไปสู่ให้ประชาชนที่สนใจมีโอกาสร่วมลงมือปฎิบัติทำไปพร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ในฤดูที่เหมาะสมตามความสมัครใจ
- ระยะต่อไปควรขยายการดำเนินการไปสู่การคัดพันธุ์ข้าว(เมล็ดทานตะวันดำเนินการแล้ว)ไว้ปลูกเองโดยขอความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรซึ่งให้การสนับสนุนอยู่แล้วเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวและยังเป็นการสร้างองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวไว้ถ่ายทอดเจ้าหน้าที่และประชาชนต่อไปอีกด้วย
- ควรมีการพัฒนาพื้นที่ว่างเปล่าไปสู่การจัดทำเป็นระบบสารสนเทศเพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้ที่มีประสิทธิภาพ