โรคฝีดาษลิง คืออะไร รุนแรงแค่ไหน
(:: ขอขอบคุณข้อมูลจาก รพ.วิชัยเวช ::)
โรคฝีดาษลิง คืออะไร รุนแรงแค่ไหน
โรคฝีดาษลิง โรคฝีดาษลิง หรือ โรคฝีดาษวานร (Monnkeypox Virus) เริ่มมีข่าวถึงการแพร่ระบาดมากขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้หลายคนเริ่มมีข้อสงสัย และกังวลว่า โรคฝีดาษลิง หรือฝีดาษวานร คืออะไร สาเหตุโรคฝีดาษลิง เกิดจากอะไร อาการน่ากลัวไหม และมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน เรามาทำความรู้จักโรคฝีดาษลิงกันครับ
โรคฝีดาษลิง หรือ โรคฝีดาษวานร (Monnkeypox Virus) เป็นโรคที่ใกล้เคียงกับโรคอีสุกอีใส หรือไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า ผู้ป่วยจะมีไข้ ร่วมกับมีตุ่มผื่นตุ่มหนองทั่วตัว และต่อมน้ำเหลืองโต อย่างไรก็ดีขณะนี้ (เดือนพฤษภาคม 2565) ยังไม่พบการติดเชื้อของโรคนี้ในประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นกลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะฉะนั้นผู้ที่กลับจากแอฟริกา หรือสัมผัสกับสัตว์ป่าต่างถิ่น หากมีอาการดังกล่าว หรือพบอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์
โรคฝีดาษลิง หรือ โรคฝีดาษวานร คืออะไร
โรคฝีดาษลิง หรือ โรคฝีดาษวานร (Monnkeypox Virus) เป็นโรคที่พบการระบาดครั้งแรกเมื่อ 60 ปีก่อน มีถิ่นกำเนิดในประเทศคองโก โดยพบการติดเชื้อของสัตว์ตระกูลลิงในห้องแล็ป นอกจากนี้ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ในสัตว์ตระกูลฟันแทะ อย่าง หนู กระรอก กระต่าย เป็นโรคตระกูลเดียวกับฝีดาษที่เกิดขึ้นในคน หรือไข้ทรพิษ
โรคฝีดาษลิง แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์ คือ
- สายพันธุ์แอฟริกากลาง มีความรุนแรงมาก อาจถึงขั้นเสียชีวิต
- สายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์แอฟริกากลางมาก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ขณะนี้
การติดต่อของโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
โรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร สามารถแพร่กระจายได้ง่าย แบ่งออกเป็น
1. การติดต่อจากสัตว์สู่คน
- สัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ติดเชื้อ
- ถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัด หรือข่วน
- กินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อ และปรุงสุกไม่เพียงพอ
2. การติดต่อจากคนสู่คน
- สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยทางสารคัดหลั่ง จากผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรือละอองฝอยจากการหายใจ
- มีอาการป่วยประมาณ 2-4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายจากโรคเองได้ อาการรุนแรงมักพบในเด็ก ขึ้นกับปริมาณไวรัสที่ได้รับ
ระยะฟักตัว และอาการของโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
ระยะเวลาฟักตัว (ช่วงเวลาตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ) ของโรคฝีดาษวานรมีตั้งแต่ 7-21 วัน โดยอาการจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ
- ระยะก่อนออกผื่น ประมาณ 0-5 วัน มีไข้, ปวดศีรษะมาก, ต่อมน้ำเหลืองโต, ปวดหลัง, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียมาก ภาวะต่อมน้ำเหลืองโตเป็นลักษณะเด่นของโรคฝีดาษวานร เปรียบเทียบกับโรคอื่นที่อาจแสดงอาการแรกเริ่มคล้ายกัน (อีสุกอีใส หัด และฝีดาษ)
- ระยะออกผื่น ปกติเริ่มภายใน 1-3 วันหลังจากเริ่มมีไข้ ตุ่มผื่นมักขึ้นหนาแน่นบนใบหน้าและแขนขามากกว่าลำตัว โดยผื่นจะมีขนาด 2-10 มิลลิเมตร ในช่วง 2-4 สัปดาห์ต่อมา สามารถเกิดตุ่มผื่นได้ทั้ง ใบหน้า ,ฝ่ามือฝ่าเท้า,เยื่อบุช่องปาก ,อวัยวะเพศ,เยื่อบุตา และกระจกตาก็ได้รับผลกระทบด้วย
โดยผื่นเริ่มจากผื่นแดง จากนั้นค่อย ๆ เป็นเป็น ผื่นนูน (เป็นตุ่มแข็งนูนเล็กน้อย) กลายเป็นถุงน้ำ (มีของเหลวใสบรรจุอยู่ภายใน) เกิดตุ่มหนอง (มีของเหลวสีเหลืองบรรจุอยู่ภายใน) และเป็นฝี จนตุ่มหนองแตกและแห้งเป็นสะเก็ด ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการดีขึ้น และหมดระยะในการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่น
การรักษาโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรคฝีดาษลิงแบบจำเพาะ แต่จะเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ และควบคุมการเกิดภาวะแทรกซ้อน อัตราการเสียชีวิตของโรคนี้อยู่ที่ 1-10% ซึ่งต่ำกว่าไข้ทรพิษมาก
สำหรับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC แนะนำให้ฉีดวัคซีนภายใน 4 วันหลังสัมผัสเพื่อป้องกันการติดโรค และฉีดวัคซีนภายใน 14 วันเพื่อลดความรุนแรงของโรค
ปัจจุบันมีการผลิตวัคซีนเฉพาะสำหรับโรคฝีดาษลิง ชื่อว่า วัคซีน Ankara ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการให้วัคซีนโรคไข้ทรพิษ
การป้องกันโรคฝีดาษลิง หรือโรคฝีดาษวานร
- หลีกเลี่ยงสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์
- กินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุก
- ล้างมือบ่อย ๆ
- ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยง
- เฝ้าระวังอาการ 21 วันหลังกลับจากประเทศเขตติดโรค
(https://vichaivej-nongkhaem.com/health-info/โรคฝีดาษลิง/)