วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
โรคคอตีบ
![image](https://webportal.bangkok.go.th/upload/user/00000168/e_abcfinrxy134.jpg)
![โรคคอตีบ](http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Disease/koh1.jpg)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
สำหรับโรคคอตีบ เรียกชื่อภาษาอังกฤษว่า ดิพทีเรีย (Diphtheriae) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการติดเชื้อคอตีบ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อ โครินแบคทีเรียม ดิพทีเรีย (Corynebacterium diphtheriae) ติดต่อโดยทางเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย เช่น การจาม หรือไอ หรือการใช้ภาชนะ ข้าวของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย พบมากในแหล่งชุมชน หรือสถานที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรคนี้มีระยะฟักตัวเพียงแค่ 1-7 วันเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มป่วย โดยทั่วไปอาจจะแพร่เชื้ออยู่ได้นาน 2 สัปดาห์ อาจมีบางรายแพร่เชื้อได้นานถึง 6 เดือน
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
โรคคอตีบนี้ ส่วนมากจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี แต่จะไม่พบในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน เพราะเด็กยังมีภูมิคุ้มกันจากแม่อยู่ อย่างไรก็ตาม เด็กที่อายุมากกว่า 15 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่ก็สามารถพบผู้ป่วยได้ เพราะอาจไม่ได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หรืออาจไม่เคยได้รับการวัคซีนป้องกัน
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
หลังจากเกิดการติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง แต่ไม่เกิน 39 องศา ตัวร้อนรุ่ม ๆ หนาวสั่น รู้สึกเหมือนเป็นหวัด เจ็บคอ ไอเสียงแหบ กลืนอาหารลำบาก จากนั้น จะมีอาการหายใจติดขัด หอบ ชีพจรเต้นเร็วหากตรวจบริเวณผนังด้านหลังของคอจะพบแผ่นเยื่อสีเหลืองปนเทา ซึ่งดูคล้ายเศษผ้าสกปรกติดอยู่บนทอนซิล คอหอย กล่องเสียง และลิ้นไก่ ถ้าใช้ช้อนเขี่ยแรง ๆ แผ่นเยื่อดังกล่าวจะหลุดออกมาได้ แต่จะมีเลือดออกมาด้วย
![โรคคอตีบ](http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Disease/4.gif)
อย่างไรก็ตาม ในรายที่รุนแรง โรคคอตีบอาจทำให้เกิดการสูญเสียถึงชีวิตได้เลย เพราะมันจะทำให้ทางเดินหายใจตีบตัน จนหายใจไม่ออก และนอกจากไปอุดตันทางเดินหายใจแล้ว เชื้อโรคจากคอและหลอดลมจะปล่อยพิษออกมาในกระแสเลือด เข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจ และประสาทส่วนปลาย อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอย่าง "โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ", "ประสาทอักเสบ" หรือโรคอัมพาตเนื่องจากพิษทางประสาทจนเสียชีวิต
ทั้งนี้ คนไข้หลายรายเสียชีวิตเพราะอาการหัวใจอักเสบ โดยที่ไม่มีการอุดตันของทางเดินหายใจ ซึ่งผู้ป่วยที่หัวใจอักเสบจะมีอาการอ่อนเพลีย กินอาหารไม่ได้ อาเจียน หน้าซีด ชีพจรเบา เต้นเร็ว เสียงหัวใจเบามาก หากเส้นประสาทหัวใจถูกทำลายจะทำให้เลือดสูบฉีดไม่เพียงพอ ส่งผลให้หัวใจวายในที่สุด
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
แพทย์จะตรวจดูอาการของผู้ป่วยว่ามีอาการบ่งบอกว่าเป็นโรคคอตีบหรือไม่ เช่น ไอเสียงก้อง เจ็บคอ ตรวจพบแผ่นเยื่อในลำคอ บริเวณทอนซิล และลิ้นไก่ มีอาการของทางเดินหายใจตีบตัน นอกจากนี้ แพทย์อาจจะทำการเพาะเชื้อด้วย เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
แม้จะเป็นโรคติดต่อที่ดูน่ากลัว แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้ หากมาพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ปล่อยให้อาการหนัก โดยแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งตัวที่ใช้ได้ผลดีก็คือ เพนนิซิลลิน ต้องทานเป็นเวลา 14 วัน พร้อมกับให้ยาต้านสารพิษ Diphtheria antitoxin โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ไปล้างฤทธิ์ของพิษ ก่อนที่พิษจะไปจับกับเนื่อเยื่อ นอกจากนี้ หากใครเคยฉีดวัคซีนคอตีบมาแล้ว แพทย์อาจจะฉีดกระตุ้นให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
ทั้งนี้ เด็กที่เป็นโรคคอตีบจะต้องพักเต็มที่อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนทางหัวใจ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในปลายสัปดาห์ที่ 2
อย่างไรก็ตาม หากปล่อยไว้นาน จนผู้ป่วยเป็นหนักถึงขั้นทางเดินหายใจอุดตัน แพทย์จะเจาะคอให้ หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้ออกซิเจน พร้อมกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนทางหัวใจ โดยอาจต้องพักรักษาตัวประมาณ 1 เดือน แต่หากมีอาการแทรกซ้อน เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ และปอดบวมเกิดขึ้นแล้ว แพทย์ก็จะรักษาตามอาการต่อไป
![สุขภาพ](http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/Cold/girl.jpg)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
โรคคอตีบ เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัส และการหายใจ ดังนั้น เราควรป้องกันดังนี้
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/47_68129_7fd805d9fde35d2.gif)
เมื่อไม่ปรารถนาให้ โรคคอตีบ มาคุกคามสุขภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองต้องอย่าลืมนำลูกหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ ซึ่งรวมอยู่ในเข็มเดียวกับวัคซีนป้องกันไอกรน และบาดทะยัก สำหรับวัคซีนนี้สกัดมาจากพิษของเชื้อคอตีบเอง โดยสามารถฉีดได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 2-3 เดือนขึ้นไป ต้องฉีดให้ครบ 5 เข็มเป็นระยะ ๆ คือ
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
![](http://img.kapook.com/image/icon/bullet_x3RedGrey_nav.gif)
จากนั้นฉีดกระตุ้นอีกครั้ง เมื่ออายุประมาณ 12-16 ปี เฉพาะวัคซีนคอตีบ และบาดทะยัก โดยสามารถฉีดได้ฟรีตามสถานีอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจได้รับปฏิกิริยาหลังการฉีดวัคซีน เช่น อาจมีไข้ ปวดบวมแดงเฉพาะที่ ซึ่งอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงภายหลังได้รับวัคซีน
ทั้งนี้ หากเด็กมีอาการดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเช็ดตัว และให้ยาลดไข้ลูกได้ รวมทั้งประคบบริเวณที่ฉีดด้วยน้ำอุ่น เพื่อลดอาการบวม แดงร้อนเฉพาะที่ และยังสามารถอาบน้ำฟอกสบู่ได้ตามปกติ
นอกจากนี้ ในวัยผู้ใหญ่ก็เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเป็นโรคคอตีบได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-50 ปี เป็นกลุ่มที่มีระดับภูมิต้านทานโรคคอตีบต่ำที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เกิดก่อน พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยเริ่มใช้แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในเด็กในระดับชาติ จึงยังไม่เคยได้รับวัคซีนชนิดนี้ ทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อและป่วยเป็นโรคคอตีบได้สูง จึงควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบไว้เช่นกัน