โรคไวรัส

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
image
เชื้อไวรัส หรือไวรัส (Virus) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก เล็กกว่าแบคทีเรียหลายเท่า ขนาดของไวรัสเท่ากับ 20 ถึง 300 นาโนเมตร (Nanometre) และสามารถทำให้เกิดโรค (การติดเชื้อไวรัส หรือ โรคติดเชื้อไวรัส
Viral infection) ในคนได้หลายโรค
ไวรัสมีลักษณะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้แก่
    1.ไวรัส ไม่สามารถอยู่เป็นอิสระด้วยตัวเองได้ จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสัตว์อื่น ๆเสมอ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นภายในเซลล์ ถ้าไวรัสออกมาอยู่นอกเซลล์จะไม่สามารถมีชีวิตและเพิ่มจำนวนได้
    2.เราไม่สามารถมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่าได้ และไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุล ทรรศน์ธรรมดา เครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เรามองเห็นตัวไวรัสได้คือ กล้องจุลทรรศน์อิ เล็กตรอน (Electron microscope) ซึ่งต้องใช้กำลังขยายนับแสนเท่าจึงจะมองเห็นตัวไวรัสได้
การแบ่งชนิดของไวรัสสามารถทำได้หลายวิธี
    1.แบ่งตามชนิดของสารพันธุกรรมนิวคลีอิคแอซิด (Nucleic acid) ที่ศูนย์กลางของตัวไว รัสเป็นดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA)
    2.แบ่งตามรูปร่างของเปลือกโปรตีน (Capsid) ที่หุ้มอยู่รอบตัวไวรัส เช่น อาจมีรูปร่างหลายเหลี่ยม หรือเป็นเกลียว เป็นต้น
    3.แบ่งตามชนิดของเปลือกไขมันรอบตัวไวรัส (Lipid envelope)
    4.แบ่งตามลักษณะการแบ่งตัวของไวรัส
    5.แบ่งตามอวัยวะที่ไวรัสเข้าไปอยู่และทำให้เกิดโรค เช่นไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ตับ ไวรัสสมองอักเสบ (Encephalitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์สมอง เป็นต้น
    6.แบ่งตาพยาธิสภาพ (Pathology) ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ เช่นการทำลายเซลล์โดยตัวไวรัสเองโดยตรง (Direct cytopathic effect) การทำลายเซลล์ที่มีไวรัสโดยระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายเอง การทำให้เซลล์ที่ไวรัสเข้าไปอยู่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง (Oncogenic virus)
ไวรัสทำให้เกิดโรคกับร่างกายได้ด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
    1.ไวรัสเกาะติดกับผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์ (Cell membrane) โดยมากที่ผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์จะมีตัวรับ (Receptor) ที่เหมาะกับโครงสร้างของไวรัสอยู่ด้วยจึงจะทำให้ไวรัสมาเกาะติดได้ง่าย
    2. ไวรัสรุกรานเข้าภายในเซลล์และเริ่มแบ่งตัวเพิ่มปริมาณไวรัส
    3. ไวรัสสร้างโปรตีนที่เหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ของไวรัสภายในเซลล์ ทำให้ไวรัสที่เพิ่มขึ้นมานั้นสามารถอยู่อาศัยภายในเซลล์ได้
    4.ไวรัสจะเข้าไปที่นิวเคลียสของเซลล์มนุษย์และบังคับให้ลดการสร้างโปรตีนปกติของเซลล์นั้นๆ แต่จะสร้างเฉพาะโปรตีนที่เป็นประโยชน์กับไวรัสเท่านั้น ทำให้การทำงานของเซลล์เพื่อประโยชน์ของร่างกายมนุษย์ลดลง เปรียบเสมือนการยึดครองศูนย์กลางการทำงานของเซลล์ให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของไวรัสนั่นเอง
    5.ผลที่ตามมาคือ ไวรัสจะใช้เซลล์มนุษย์เป็นโรงงานผลิตไวรัสออกมาจำนวนมหาศาล ในขณะเดียวกันเซลล์นั้นก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติจึงเกิดอาการของโรคตามมา ต่อมาเมื่อถึงระยะหนึ่ง เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสนั้นก็จะตายหรือถูกทำลายไป ไวรัสที่อยู่ในเซลล์นั้นก็จะเคลื่อนย้ายเข้าไปยึดครองเซลล์อื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป ถ้าเซลล์ของอวัยวะนั้นๆถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ก็จะเกิดอาการของโรคขึ้นมาอย่างชัดเจน เช่น
ไวรัสตับอักเสบ ทำให้เกิดภาวะตับวาย (Liver failure) ไวรัสสมองอักเสบทำให้เกิดอาการหมดสติ ไม่รู้ตัว ชัก โคม่า (Coma) ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ทำลายเซลล์ประสาททำให้เกิดอาการเกร็งของกล้าม เนื้อ หมดสติ และเสียชีวิต
    6.การติดเชื้อไวรัสหลายชนิดโดยเฉพาะโรคหวัด (Common cold) โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคหัด (Measle) โรคอีสุกอีใส (Chicken pox) ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต้านทาน (Antibody) ต่อเชื้อไวรัสได้ทันท่วงที โดยมากจะไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกาย ภูมิคุ้มกันต้านทานนี้สามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และทำให้หายจากโรคได้โดยไม่เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้นๆ
ไวรัสสามารถติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้ตามทางต่อไปนี้
    1.ทางการหายใจ เช่น ไวรัสโรคหวัดธรรมดา ไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโรคไข้หวัดนก ไวรัสที่ทำให้เกิด
ปอดอักเสบ ไวรัสโรคหัด จะติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม รดกัน การจูบกับคนที่เป็นโรค โดยไวรัสจะอยู่ในเซลล์ที่ปะปนออกมากับน้ำมูกน้ำลายที่ผู้ป่วยปล่อยออกมา
    2.ทางเลือด เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิด เช่น ได้รับเลือดที่มีเชื้อจากการรับเลือด ถูกเข็มฉีดยาที่เปื้อนเลือดผู้ป่วยแทงที่ผิวหนัง เลือดที่มีเชื้อไวรัสเข้าปาก เป็นต้น
    3.ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะโรค (Carrier) ของเชื้อไวรัส เช่น โรคเอดส์ โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma acuminatum) ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเอชพีวี (HPV ,Human papilloma virus) เช่น การติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศหญิง โรคเริมอวัยวะเพศ (Herpes progenitalis) ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 2 (Herpes simplex virus type 2)
    4.ทางการตั้งครรภ์โดยเชื้อไวรัสแพร่จากแม่ไปสู่ลูก เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIVเชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัสซีเอ็มวี (CMV) โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
    5.ทางการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง เช่น ไวรัสโรคอีสุกอีใส (Chicken pox) โรคไข้ทรพิษ
(Small pox)
    6.ทางการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด เช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำ/โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) สามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูก สุนัข แมว ค้างคาวกัด เป็นต้น
    7.เข้าทางตา เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดงจากไวรัส (Viral conjunctivitis)
    8.ทางยุงกัด เช่น ไวรัสสมองอักเสบ (Japanese B encephalitis virus) ไวรัสโรคไข้ เลือดออกเด็งกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่พบอยู่เสมอในประเทศไทยเป็นต้น
    9.เข้าทางปาก เช่น ไวรัสโรต้า/โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา (Rota virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องร่วง/ท้องเสีย (Diarrhea) และไวรัสโปลิโอ (Polio virus) ที่ทำให้เกิดโรคแขนขาลีบ/โรคโปลิโอ เป็นต้น+ไวรัสอยู่ใน  ร่างกายมนุษย์ได้ โดยอาศัยอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์ที่ไวรัสแต่ละชนิดมีความสามารถเข้าไปอยู่โดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละโรค ยกตัวอย่างเช่น
    -ไวรัสตับอักเสบ จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับเท่านั้น
    -ไวรัสสมองอักเสบจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประสาทสมองส่วนกลาง
    -ไวรัสเอดส์อยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดทีลิ้มโฟซัยท์ (T-lymphocyte)
    -ไวรัสโรคหวัดอยู่ในเซลล์บุผนังทางเดินหายใจ เป็นต้น
    -เวลาไวรัสอยู่ในเซลล์ อาจจะมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุล ทรรศน์ธรรมดา
(Light microscope) เรียกว่า อินคลูชั่นบอดี้ (Inclusion body) ซึ่งมักจะอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส
ระยะฟักตัว ได้แก่ เวลานับตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกายจนถึงเวลาที่เกิดอาการของโรค จะแตกต่างกันไปในไวรัสแต่ละชนิด เช่น
    -โรคหวัดธรรมดาจะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วัน
    -โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำมีระยะฟักตัวประมาณ 7 วันถึง 2 ปี เป็นต้น
    -โรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย เช่น
    -โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่
    -โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โรคโปลิโอ โรคหัดเยอรมัน และโรคไข้เลือดออก
    -โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้สมองอักเสบ โรคไข้ทรพิษ
    -โรคเริม โรคงูสวัด โรคไวรัสตับอักเสบ โรคตาแดงจากไวรัส
    -โรคเอดส์
การกำจัดเชื้อไวรัสจากร่างกายมีวิธีการดังนี้ คือ
    1.การใช้ยาต้านเชื้อไวรัส ซึ่งในปัจจุบันมีหลายชนิดเช่น ยาอะซัยโคลเวีย (Acyclovir) ใช้รักษาโรคเริม
และโรคงูสวัดเป็นต้น
    2.การให้เซรุ่ม/น้ำเหลืองของเลือด (Serum) ซึ่งผลิตในสัตว์ หรือ ด้วยเทคนิคทางอิมมูโนวิทยา (Immunology,ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค) และมีสารภูมิต้านทาน (Antibody) ในน้ำ เหลืองนั้นๆอยู่แล้วฉีดให้ผู้ป่วย ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสทันทีที่ฉีดโดยไม่ต้องรอสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเองเหมือนในการฉีดวัคซีน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ป่วยถูกสุนัขบ้ากัด แพทย์จะฉีดเซรุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าให้ทันทีในวันที่ถูกกัด ภูมิคุ้มกันต้านทาน หรือ Antibody นี้จะไปทำลายเชื้อไวรัสได้ทันที ทำให้ผู้ป่วยไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
    3.การฉีดวัคซีน ปัจจุบันนี้มีวัคซีนที่ฉีดแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานได้เองต่อเชื้อไวรัสหลายชนิดเช่น วัคซีนป้องกันโรคหัด โรคคางทูม โรคหัดเยอรมัน โรคอีสุกอีใส โรคไข้ทรพิษ ไข้สมองอักเสบ โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หวัดใหญ่ แต่ก็มีไวรัสหลายชนิดที่ยังไม่มีวัคซีนฉีด ยกตัวอย่างเช่น โรคเอดส์ (แต่กำลังมีการศึกษาวิจัยอยู่) เป็นต้น
                        การติดเชื้อโรค ทั้ง ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา จะให้อาการได้คล้ายคลึงกัน ไม่มีอาการที่เป็นอาการจำเพาะ ทั้งนี้เพราะอาการของโรค มักขึ้นกับอวัยวะที่ติดโรค เช่น
    -ถ้าเป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ก็จะมีไข้ ไอ อาจมีน้ำมูก และ/หรือเสมหะ
    -การติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ก็จะมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
    -การติดเชื้อที่สมอง ก็จะมีอาการไข้ สับสน ปวดศีรษะ อาจชัก และอาจโคม่า เป็นต้น
สรุป อาการติดเชื้อไวรัส จึงมีได้หลากหลายอาการ ขึ้นกับว่าเป็นการติดเชื้อของอวัยวะ/ระบบใด และจากอาการเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแยกได้ว่า ผู้ป่วยติดเชื้ออะไร ไวรัส แบคที เรีย หรือ เชื้อรา
    ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคจากการติดเชื้อทุกชนิดรวมทั้งจากเชื้อไวรัสจะเหมือนกัน คือ แพทย์จะวินิจฉัยจาก อาการผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการสัมผัสโรค ประวัติที่อยู่อาศัย การเดินทาง และประวัติการระบาดของโรคในขณะนั้น การตรวจร่างกาย อาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น