"กินผลไม้อย่างไร ถึงจะได้ประโยชน์สูงสุด"
1. มะนาว หรือ เลมอน
มะนาว หรือ เลมอน เป็นผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจี๊ด กัดเข้าไปแค่เพียงเสี้ยวเดียวก็ทำเอาน้ำลายหก เปรี้ยวจนต้องหลับตากันเลยทีเดียว ซึ่งผลไม้จำพวกมะนาวหรือเลมอนนี้จะให้สารอาหารประเภทวิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก แต่ในทางกลับกันคือ มะนาว หรือ เลมอน จะให้น้ำตาลในปริมาณที่น้อยมาก
มะนาว หรือ เลมอน หนึ่งลูก ให้ปริมาณน้ำตาลเพียง 1-2 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากเลือกรับประทานเป็นน้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน ก็อาจจะต้องระวังว่าจะได้น้ำตาลเพิ่มไปจากนี้ เพราะอาจมีการเพิ่มน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมเพื่อลดความเปรี้ยวของผลไม้ได้
2. เบอร์รี่ต่างๆ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ หรือราสเบอร์รี่ แม้จะมีรสชาติออกหวานอมเปรี้ยว แต่ก็จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ แต่ให้วิตามินซีสูง โดยการกินเบอร์รี่ชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงหนึ่งถ้วย จะได้น้ำตาลแค่เพียง 5-7 กรัมเท่านั้นเอง
3. แตงโม
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงจะขมวดคิ้วสงสัยอยู่ไม่น้อย แตงโมที่หวานฉ่ำขนาดนั้นน่ะหรือ ที่มีน้ำตาลน้อย คำตอบคือใช่แล้วค่ะ แม้ว่าแตงโมจะมีรสชาติที่หวานจับใจมากแค่ไหน แต่การรับประทานแตงโมหั่นเต๋าหนึ่งถ้วย ให้ปริมาณน้ำตาลไม่ถึง 10 กรัมด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าถ้าใครที่กำลังอยู่ในช่วงงดน้ำตาล แต่ก็ยังต้องการความหวานอยู่บ้าง แตงโมคือคำตอบนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
4. เกรปฟรุต
เกรปฟรุต เป็นผลไม้ตระกูลส้ม ตระกูลเดียวกับซิตรัส (Citrus) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง แต่มีน้ำตาลน้อย โดยการรับประทานเกรปฟรุตขนาดกลางครึ่งผล ให้น้ำตาลแค่เพียง 9 กรัมเท่านั้น
5. กีวี่
กีวี่ เป็นผลไม้ที่สามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ แต่ให้วิตามินสูง โดยกีวี่หนึ่งลูก ให้ปริมาณของน้ำตาลเพียง 6 กรัมเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ควรระวังกีวี่อบแห้ง เพราะอาจมีส่วนผสมของน้ำตาล อาจจะได้ปริมาณน้ำตาลมากกว่าการกินกีวี่แบบสด
6. ฝรั่ง
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมาก ถ้าหากไม่รับประทานส้ม การกินฝรั่งก็ได้วิตามินซีในปริมาณที่สูงเหมือนกัน แต่นอกจากวิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งก็ยังให้ไฟเบอร์สูงอีกด้วย ซึ่งดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายอย่างยิ่ง
มากไปกว่านั้น การกินฝรั่งหนึ่งผล จะได้น้ำตาลประมาณ 4.9 กรัมเพียงเท่านั้นเอง แต่...ใครที่ชอบกินฝรั่งจิ้มบ๊วยหรือจิ้มพริกเกลือ ก็อาจจะต้องระวังว่าจะได้น้ำตาลสูงกว่านี้
7. แอปริคอต
แอปริคอต เป็นผลไม้ที่นิยมนำมาอบหรือตากแห้ง แช่อิ่ม แช่บ๊วย หรือเชื่อม เพื่อที่จะได้ถนอมไว้รับประทานได้นานๆ ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้แอปริคอตที่ผ่านกรรมวิธีในการถนอมอาหารมีน้ำตาลสูงได้
การกินแอปริคอตสดเพียงหนึ่งผล(ขนาดเล็ก) จะได้ปริมาณน้ำตาลแค่เพียง 3.2 กรัมเท่านั้น ถ้าใครอยู่ระหว่างควบคุมน้ำตาลล่ะก็ เลือกกินแอปริคอตแบบสดอาจจะดีกว่าแอปริคอตที่อบแห้งหรือเชื่อมมาแล้ว
8. อะโวคาโด
อะโวคาโด เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ และมักปรากฏในสูตรอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่าอะโวคาโดก็เป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ ด้วย เพราะการกินอะโวคาโดหนึ่งผล ให้ปริมาณน้ำตาลเพียง 1 กรัมเท่านั้น
9. มะเดื่อฝรั่ง
สำหรับมะเดื่อฝรั่ง อาจจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยกันเท่าไหร่นักสำหรับบ้านเรา แต่มะเดื่อฝรั่งนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ดีที่สุดในโลก เพราะให้สารอาหารที่หลากหลาย ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ในส่วนของปริมาณน้ำตาลนั้นจะให้เพียง 6.5 กรัม (ต่อมะเดื่อฝรั่งผลเล็ก 1 ผล) เท่านั้นเอง
การรับประทานผลไม้หนึ่งในพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดี เนื่องจากสารอาหารในผลไม้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ แต่ถ้าหากมีอาการทางสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับระดับน้ำตาลในเลือด เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรืออาจกำลังงดกินหวานเพื่อลดน้ำหนัก การเลือกรับประทาน ผลไม้น้ำตาลต่ำ อาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า
10 อันดับผลไม้ดีมีประโยชน์
10 อันดับผลไม้กินแล้วไม่อ้วน ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด ผลไม้
1.กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง2.มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ 3.มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน 4.อะโวกาโด – ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด 5.สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย 6.ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต 7.แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส 8.ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด 9.ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย 10.แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ กล้วยไข่ อันดับ 2 คือ กล้วยน้ำว้า อันดับ 3 คือ ขนุน อันดับ 4 คือ กล้วยหอม อันดับ 5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว อันดับ 7 คือ ลองกอง อันดับ 8 คือ เงาะ อันดับ 9 คือ ลางสาด อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด **แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนจนเกินไป ลองหาผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนมากินกันได้. 10 อันดับ ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ 1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 2. มะเขือเทศราชินี 3. มะละกอสุก 4. กล้วยไข่ 5. มะม่วงยายกล่ำ 6. มะปรางหวาน 7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง 8. มะยงชิด 9. มะม่วงเขียวเสวยสุก 10. สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย 1. แก้วมังกร 2. มะขามเทศ 3. มังคุด 4. ลิ้นจี่ 5. สาลี่ 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ 1. ฝรั่งกลมสาลี่ 2. ฝรั่งไร้เมล็ด 3. มะขามป้อม 4. มะขามเทศ 5. เงาะโรงเรียน 6. ลูกพลับ 7. สตรอเบอร์รี่ 8. มะละกอสุก 9. ส้มโอขาว 10. แตงกวา 11. พุทราแอปเปิล การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ 1. ขนุนหนัง 2. มะขามเทศ 3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ 4. มะเขือเทศราชินี 5. มะม่วงเขียวเสวยสุก 6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 7. มะม่วงยายกล่ำสุก 8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 9. สตรอเบอร์รี่ 10. กล้วยไข่ ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี. |
10 ผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพของคุณ
1.พีช: แหล่งของโพแทสเซียม
ทุกคนรู้กันดีว่ากล้วยนั้นเป็นแหล่งของโพแทสเซียมแต่ลูกพีช ลูกเล็กๆ 2 ลูกนั้นให้แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่ากล้วยขนาดกลาง 1 ใบ ช่วยบำรุงเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะเปลือกของพีชที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ พีชยังเป็นผลไม้ให้รสหวานที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักอีกด้วย โดยคุณอาจจะนำพีชมาเป็นส่วนประกอบในการทำขนมหวานที่ดีต่อสุขภาพ
2.สับปะรด: อุดมไปด้วยสารต้านการอักเสบ
สับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสาร bromelain ซึ่งเป็นเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและเส้นเลือดสมองอุดตันรวมถึงช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตรอีกด้วย
3.องุ่น: ดีต่อสุขภาพของหัวใจ
องุ่นนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ quercetin และ resveratrol ที่พบว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและการมี cholesterol ในระดับสูง องุ่นยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและธาตุเหล็กซึ่งช่วยป้องกันการเกิดตะคริวและภาวะโลหิตจาง องุ่นแดงหรือม่วงเป็นสายพันธุ์ที่มีสารที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด
4.กีวี่: อุดมไปด้วยวิตามิน
กีวี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามันซีและอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและดีต่อสายตา นอกจากนั้นกีวี่ยังให้พลังงานต่ำแต่มีเส้นใยอาหารสูงทำให้เป็นผลไม้ที่เหมาะในผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
5.มะม่วง: ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน
มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนสารนี้ให้กลายเป็นวิตามินเอเพื่อนำไปสร้างกระดูกและเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ นอกจากนั้นมะม่วงยังให้วิตามินซีในปริมาณสูงอีกด้วย
6.แอปเปิ้ล: ดีต่อสมองและหัวใจ
แอปเปิ้ลขนาดกลาง 1 ลูกนั้นให้พลังงานต่ำ (เพียงแค่ 80 แคลอรี) แต่อุดมไปด้วยสาร quertecin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองที่จะทำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ได้ มีงานวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานแอปเปิ้ลนั้นมีโอกาสในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงน้อยกว่า นอกจากนั้นแอปเปิ้ลยังสามารถช่วยลดระดับ cholesterol และป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และเพิ่มความแข็งแรงของฟันอีกด้วย เวลารับประทานแอปเปิ้ล ให้รับประทานทั้งเปลือกเพราะเปลือกนั้นก็เป็นส่วนที่อุดมไปด้วยสารที่ช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ เช่น flavonoids ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ
7.ทับทิม: ให้สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าไวน์แดงหรือชาเขียว
น้ำทับทิมนั้นให้สารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าไวน์แดงหรือชาเขียวถึง 2-3 เท่าและยังเป็นแหล่งของโพแทสเซียมซึ่งช่วยคงพลังงานให้กับร่างกายและควบคุมความดันโลหิต งานวิจัยพบว่าการดื่มน้ำทับทิม ¼ ถ้วยนั้นจะช่วยทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดดีขึ้น ลดระดับ cholesterol ลงและช่วยทำให้ภาวะองคชาติไม่แข็งตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มรับประทานน้ำทับทิมเป็นประจำเนื่องจากน้ำทับทิมอาจส่งผลต่อการทำงานของยาบางตัวได้
8.Grapefruit: แหล่งของวิตามินซี
ถึงแม้ว่าส้มนั้นจะเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีที่สำคัญแต่ grapefruit นั้นก็จัดเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีได้มากและยังเป็นอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร โพแทสเซียมและวิตามินเออีกด้วย มีงานวิจัยที่พบว่า grapefruit นั้นช่วยลดอาการของโรคข้ออักเสบและช่วยซ่อมแซมผิวหนังหรือผมที่มันได้
9.กล้วย: รับประทานง่ายแต่ดีต่อสุขภาพ
กล้วยจัดเป็นผลไม้ที่เหมาะกับการรับประทานเป็นของว่าง โดยกล้วยนั้นเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและเสน้ใยอาหารที่จะช่วยคงพลังงานในร่างกายตลอดทั้งวัน และเนื่องจากกล้วยนั้นไม่มีไขมันหรือเกลือทำให้กล้วยเป็นผลไม้ที่เหมาะนำมารับประทานแทนขนมต่างๆ ในยามว่าง10.บลูเบอร์รี่: อุดมไปด้วยสารชะลอวัย
บลูเบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีที่ช่วยในการต่อสู้กับโรคต่างๆ รวมถึงสาร anthocyanin ซึ่งเป็นเม็ดสีที่เพิ่มการทำงานของสมอง งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ที่รับประทานบลูเบอร์รี่นั้นมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะที่ทำให้ตาบอดได้ลดลงขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
https://www.sanook.com/health/25669/
https://sites.google.com/site/kinphlmitanrokh/malakx-khaek-da/mafeuxng/10-xandab-phl-mi-di-mi-prayochn
https://hd.co.th/10-healthy-fruits