วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
"เดินออกกำลังกาย" ได้ประโยชน์กว่าที่คิด
“เดินออกกำลังกาย” ได้ประโยชน์กว่าที่คิด
“การเดิน” เป็นการออกกำลังกาย ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ไม่ว่าร่างกายจะแข็งแรงหรือไม่ก็ตาม แต่การเดินออกกำลังกายที่ดีและถูกวิธี ควรเป็นอย่างไร Tonkit360 มีข้อมูลมาฝากกัน
การเดิน
แม้ว่า “การเดิน” จะไม่ได้เผาผลาญพลังงานได้มาก เมื่อเทียบกับการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ แต่ถ้าคุณเดินให้ได้อย่างน้อย 10,000 ก้าว/วัน หรือเดินประมาณ 30 นาที และสะสมให้ได้ 150 นาที/สัปดาห์ จะช่วยในเรื่องของความดันโลหิต หากเดินอย่างสม่ำเสมอและมากพอในแต่ละสัปดาห์ ร่างกายของคุณก็จะแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน
การเดินมีกี่แบบ ?
- เดินช้า มีลักษณะคล้ายกับการเดินเล่น เดินจงกรม หรือเดินซื้อของ
- เดินเร็ว เป็นการเดินเร็วติดต่อกันนานกว่า 10 นาที/ครั้ง รวมกัน 30 นาที/วัน อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์
- เดินแข่ง คือ เดินเร็วจนกระทั่งพูดไม่เป็นคำ คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะหายใจไม่ทัน
แค่มีรองเท้ากีฬาที่ใส่สบายและเหมาะสมกับเท้าของคุณก็สามารถเริ่มได้ทันที โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายราคาแพง ทั้งยังไม่ต้องหาเวลา หรือสถานที่เฉพาะเพื่อเดิน แค่ปรับให้การเดินอยู่ในชีวิตประจำวันของคุณ อาทิ เวลาออกไปข้างนอก ก็เลือกวิธีเดินแทนการขับรถหรือขึ้นรถโดยสารแทน
มีแรงกระแทกต่ำ
เหมาะสำหรับคนที่อยากออกกำลังกายแบบเซฟเข่า ลดแรงกระแทกระหว่างออกกำลังกาย เนื่องจากมีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือเข่าเริ่มไม่ดี
สลายไขมันในร่างกายได้เร็ว
ไขมันในร่างกายไม่ได้เริ่มเผาผลาญตั้งแต่เริ่มออกกำลังกาย แต่ต้องออกกำลังกายไปสักระยะจึงจะเริ่มเผาผลาญ ซึ่งการเดินในความเร็วที่พอเหมาะเป็นเวลา 10-20 นาที จะทำให้ไม่เหนื่อยและส่งผลดีต่อการสลายไขมันในร่างกาย
ช่วยลดความเครียด
การเดิน จะช่วยให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น ซึ่งสารดังกล่าวมีผลให้คุณอารมณ์ดี หรือจิตใจแจ่มใส นอกจากนี้ การเดินยังจัดว่า เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการขจัดความเครียดถึงขั้นสามารถรักษาอาการซึมเศร้าได้เลย
ลักษณะการเดินที่ถูกวิธี มีอะไรบ้าง ?
1. สายตามองตรงไปข้างหน้าขณะเดิน ศีรษะและลำตัวตั้งตรง ไหล่ทั้งสองข้างอยู่ในระดับตรง
2. แกว่งแขนซ้ายขวาสลับหน้าหลังขนานกับลำตัว มือทั้งสองข้างกำแบบหลวมๆ มือที่แกว่งสูงระดับอกในลักษณะที่ผ่อนคลาย งอศอกเล็กน้อย ทำมุมประมาณ 90 องศา ระหว่างแขนท่อนบน-ล่าง
3. จังหวะก้าวเท้าควรสม่ำเสมอ และมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่เดินๆ หยุด อย่างน้อยควรเดินต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20-30 นาที แต่หากเพิ่งเริ่มต้น อาจเริ่มที่ 5 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ
4. เวลาเดินให้ส้นเท้าแตะพื้นก่อน แล้วถ่ายน้ำหนักตัวไปที่ฝ่าเท้า ที่สำคัญควรวางเท้าลงกับพื้นตรงๆ ไม่วางเท้าให้ไขว่กันมากจนเกินไป
5. ไม่ควรก้าวเท้ายาวจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความเมื่อยล้าที่กล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกมากกว่าปกติ
6. หากต้องเดินขึ้นเนิน ควรเดินช้าลง และเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เมื่อเดินลงเนิน ให้พยายามควบคุมความเร็วก้าวสั้นๆ และวางเท้าให้เบา
Walking Miracle นี่แหละมหัศจรรย์แห่งการเดิน
เดินออกกำลังกาย มีประโยชน์มากมายกว่าที่คิด โดยเฉพาะถ้าอยากมีร่างกายแข็งแรง ก็ลุกออกจากที่นั่งแล้วมาเดินกันเลยการดำเนินชีวิตที่ช้าลงด้วยการเดินให้อะไรดี ๆ มากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะทางด้านสุขภาพ มีผลวิจัยมากมายช่วยนั่งยัน นอนยัน ได้ว่าการเดินนั้นเป็นยาขนานเอกสำหรับสุขภาวะในร่างกายที่หลายคนอาจมองข้าม ด้วยเหตุนี้ นิตยสาร 24/7 จึงขอเป็นเพื่อนเดินอยู่ข้าง ๆ เพื่อที่จะค่อย ๆ สะกิดให้คุณเห็นว่าการเดินนั้นหนาช่างมหัศจรรย์จริง ๆ
เดิน เบิร์น ไขมัน
การเดินนั้นแทบจะเป็นวิธีการออกกำลังกายเดียวที่ถูกสอดแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันโดยที่คุณก็แทบไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าคุณรู้จักการเดินที่ถูกวิธี รับรองว่าหุ่นสวยแน่ ๆ ว่าแต่จะเดินอย่างไรให้เบิร์นไขมันอย่างได้ผล เรามีคำแนะนำมาฝากกัน
* ใส่ใจกับการวางท่า ทำให้ไหล่และแผ่นหลังอยู่ในภาวะที่สบาย สายตามองตรงไปข้างหน้า ปรับระดับคางให้เชิดในระดับตรง
* สังเกตอัตราหัวใจ ควบคุมให้อัตราการเดินสัมพันธ์กับการเต้นของหัวใจ พยายามเดินให้กระฉับกระเฉง อัตราการเต้นของหัวใจที่ดีจะช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
* ถ่วงน้ำหนัก สวมเสื้อกล้ามที่มีน้ำหนักสักนิดหนึ่ง หรือไม่ก็หากระเป๋าเป้มาสะพายหลังระหว่างเดิน จะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ดีขึ้น แต่ให้หลีกเลี่ยงการถือของหนักด้วยมือ หรือหาอะไรมาถ่วงข้อเท้าขณะเดิน
* แกว่งแขนเป็นวงสวย ขณะเดินพยายามให้ข้อศอกทำมุม 90 องศา แกว่งวงแขนไปข้างหน้าและข้างหังโดยให้องศาข้อศอกอยู่ในระดับคงที่
* เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ลองเกร็งกล้ามเนื้อท้องบ่อย ๆ ในขณะที่เดินจะช่วยลดพุงได้
* สะโพกส่ายพองาม เวลาเดินกล้ามเนื้อส่วนสะโพกจะเคลื่อนย้ายไปด้วย เพียงควบคุมส่วนสะโพกให้ส่ายไปตามจังหวะการเดินอย่างพองาม จะช่วยให้กล้ามเนื้อสะโพกเฟิร์มขึ้น
* เกร็งขาอ่อนส่วนหลัง การสร้างกล้ามเนื้อให้เกิดขึ้นบริเวณขาอ่อนส่วนหลังขณะเดินก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ส่งเสริมให้หุ่นของเราฟิตแอนด์เฟิร์มมากขึ้น โดยเฉพาะเชพส่วนสะโพก
* ยกเข่าเป็นจังหวะ ขณะเดินให้ยกเข่าเป็นจังหวะ เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่งต้องหยุดพักเข่าบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ
* สาวก้าวยาว ๆ เดินด้วยเท้าก้าวยาว ๆ เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อทั้งส่วนในละนอกบริเวณข้อเท้า
* เดินบนพื้นไม่เรียบ หมายความว่าให้คุณออกกำลังกายด้วยการเดินอยู่บนผืนหญ้า ผืนทราย ผืนกรวด พื้นหิน หรือพื้นทางเดินที่ถูกจัดขึ้นไว้ให้เป็นพิเศษสำหรับการเดิน
* เท้ากับการเดิน เดินโดยให้ส้นเท้าสัมผัสเป็นพื้นเป็นส่วนแรก ก่อนจะปรับเท้าให้โค้งเพื่อส่งน้ำหนักไปที่เท้าส่วนหน้านิ้วเท้าจะช่วยผลักให้ก้าวเดินต่อไปได้อย่างสมดุล
เดินดี ๆ มีกำไร
เมื่อนำการเดินมาแจกแจงว่าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง เราก็พบว่าประโยชน์ของการเดินนั้นมีมากมายเกินหน้ากระดาษจริง ๆ แต่พอจะสรุปโดยย่อได้ว่า
* เพิ่มสารเอ็นดอร์ฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดความตึงเครียด ความโกรธ ความเหนื่อยล้า และความวิตกกังวล
* ลดอาการเจ็บป่วย
* เพิ่มกล้ามเนื้อส่วนแขนและไหล่ แถมซิกแพ็คให้ด้วยในผู้ชาย
* เสริมสร้างกระดูกและกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต
* อวัยวะส่วนขาแข็งแรงขึ้น
* บรรเทาอาการต้อหิน
* ป้องกันการเป็นอัลไซเมอร์ได้มากกว่าคนปกติ
DID YOU KNOW?
* ชาวยุโรปในแถวสแกนดิเวีย หรือทางขั้วโลก ใช้วิธีการเดินเพื่อเผาผลาญไขมันเกือบ 50%
* การเดินเร็วหรือจ็อกกิ้งและการเดินขึ้นลงบันไดช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่าเมื่อเทียบกับการเดินปกติ
* เพียงแค่ 30 นาทีต่อวัน ใน 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่คุณใช้เวลากับการเดิน ก็สามารถช่วยเพิ่มขีดความสุขและสุขภาพที่ดีได้แล้ว
* การเดินสามารถป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ได้ถึง 31% ในผู้หญิง
Amazing Number
* 7,192 คือ ค่าเฉลี่ยของจำนวนก้าวในการเดินต่อวันของผู้ชาย
* 5,210 คือ ค่าเฉลี่ยของจำนวนก้าวในการเดินต่อวันของผู้หญิง
* 100 คือ แคลอรี่ที่สะสมในร่างกายสามารถถูกเผาผลาญได้ด้วยการเดินเป็นระยะทาง 1 ไมล์
* 150 คือ ก้าวที่เราเดินเท่ากับ 1 นาทีของการว่ายน้ำและการปั่นจักรยาน
* 100 ก้าวที่เราเดินเท่ากับ 1 นาทีของการยกน้ำหนัก
* 200 ก้าวที่เราเดินเท่ากับ 1 นาทีของการไถลโรลเลอร์สเก็ต
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://health.kapook.com/view76000.html
https://www.sanook.com/men/71569/